ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างต่อเนื่องเมื่อคืนนี้ (3 ก.ย.) เพราะได้รับแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งแกร่งขึ้นและข้อมูลที่บ่งชี้ว่าความต้องการพลังงานลดน้อยลง โดยราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงแม้มีรายงานว่าบริษัทพลังงานหลายแห่งยังคงปิดแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าสธรรมชาติในอ่าวเม็กซิโกหลังจากพายุเฮอริเคน"กุสตาฟ"เคลื่อนตัวผ่านก็ตาม
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 36 เซนต์ ปิดที่ 109.35 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากดิ่งลงไปแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันที่ 107.22 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนต.ค.ดีดตัวขึ้น 0.50 เซนต์ ปิดที่ 3.0788 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนต.ค.ปิดเพิ่มขึ้น 3.31 เซนต์ แตะที่ 2.7668 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 28 เซนต์ ปิดที่ 108.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
ฟิล ฟลายน์ นักวิเคราะห์จากบริษัทเอลารอน เทรดดิ้ง ในเมืองชิคาโก กล่าวว่า ในช่วงเช้านั้น ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากสำนักงานบริการจัดการเหมืองแร่ (MMS) ของสหรัฐเปิดเผยว่า การผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกเต็มอัตรา 100% หรือ 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน และการผลิตก๊าซธรรมชาติ 95.4% หรือ 7.06 พันล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ยังคงปิดการผลิต หลังจากพายุเฮอริเคนกุสตาฟเคลื่อนตัวผ่าน
"แต่ต่อมาราคาน้ำมันดิบเริ่มอ่อนตัวลงเมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักว่า หากราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลเนิ่นนานเกินไปในยามที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงเช่นนี้ อาจทำให้สหรัฐต้องเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้" ฟลายน์กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐคาดว่า โรงกลั่นน้ำมันในรัฐหลุยเซียน่าอาจต้องใช้เวลาถึง 10 วันจึงจะกลับมาเปิดดำเนินการได้ตามปกติ หลังจากที่ต้องปิดทำการจากอิทธิพลของเฮอริเคนกุสตาฟที่ส่งผลให้ไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ซึ่งหากโรงกลั่นเหล่านี้กลับมาผลิตน้ำมันได้ช้าเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นผลลบ เนื่องจากเวลานี้คลังสำรองน้ำมันเบนซินในบริเวณอ่าวเม็กซิโกอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือนแล้ว
มาราธอน ออยล์ คอร์ป, วาเลโร เอนเนอร์จี คอร์ป และผู้กลั่นน้ำมันรายอื่นๆ ซึ่งปิดโรงกลั่นขณะที่พายุกุสตาฟเคลื่อนตัวผ่านอ่าวเม็กซิโก ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายที่เกิดจากพายุได้ขณะนี้ โดยเอ็กซอน โมบิล คอร์ป ปิดโรงงานในบาตอง รูจ ซึ่งเป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่อันดับสองของสหรัฐ หลังจากที่กระแสลมแรงได้พัดทำลายสายไฟ
แอนดี้ ลิพาว ประธานบ.ลิพาว ออยล์ แอสโซสิเอทส์ กล่าวว่า ราคาสัญญาน้ำมันเบนซิน ซึ่งร่วงลง 7.9% ตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจดีดตัวขึ้นมาอีก เนื่องจากการขาดกระแสไฟฟ้าอาจทำให้รัฐหลุยเซียน่าฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้ล่าช้า โดยวาเลโร และรอยัล ดัตช์ เชลล์ เป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่ต้องระงับการกลั่นน้ำมันดิบ ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน 14% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของสหรัฐ
ทั้งนี้ หลุยเซียน่าเป็นรัฐที่กลั่นน้ำมันได้มากที่สุดเป็นอันดับสองของสหรัฐ และส่งเชื้อเพลิง 75% ที่ผลิตได้ไปยังรัฐอื่นๆ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 29 ส.ค. โดยกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในคืนนี้ (ตามเวลาประเทศไทย)
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--