ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 6 ดอลลาร์ เมื่อคืนนี้ (19 ก.ย.) ส่งผลให้ราคาทะลุกลับสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ อันเป็นผลมาจากแผนการกู้วิกฤติการเงินของรัฐบาลสหรัฐได้กระตุ้นให้นักลงทุนกล้ากลับเข้ามาในตลาด
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.ปิดบวก 6.67 ดอลลาร์สหรัฐ แตะที่ระดับ 104.55 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากทะยานขึ้นแตะระดับระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 105.25 ดอลลาร์ นับเป็นการปิดเหนือระดับ 100 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์นี้
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 11.54 เซนต์ ปิดที่ 2.8978 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนต.ค.ดีดขึ้น 11.73 เซนต์ ปิดที่ 2.5997 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ย.ดีดตัวขึ้น 4.42 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 99.61 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบไต่ขึ้น 13 ดอลลาร์ในช่วงสามวันที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลได้ดำเนินการแทรกแซงระบบการเงินครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ แต่นักวิเคราะห์มองว่าราคาจะกลับสู่ช่วงขาลงอีก เหตุเพราะความต้องการพลังงานจะยังคงซบเซา โดยเศรษฐกิจที่อ่อนแอจะส่งผลให้ชาวอเมริกันขับขี่รถน้อยลงและธุรกิจต่างๆก็จะลดขนาดกิจการลง
ในวันศุกร์ เฮนรี่ พอลสัน รมว.คลังสหรัฐ ได้กล่าวว่า แผนกู้วิกฤติมีเป้าหมายเพื่อปลดหนี้เสียหรือทรัพย์สินที่มีปัญหามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับสถาบันการเงินต่างๆ และคลายความวิตกในตลาดการเงินหลังจากเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงในช่วงสัปดาห์นี้ ขณะที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐได้มีมาตรการเบื้องต้นที่นำมาใช้เพื่อสกัดการดิ่งลงของหุ้นในกลุ่มการเงินด้วยการห้ามชอร์ตเซลหุ้นสถาบันการเงิน 799 แห่งในตลาดเป็นการชั่วคราว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสามารถบรรเทาความตื่นตระหนกของบรรดาเทดเดอร์และส่งให้หุ้นทะยานขึ้นในตลาดวอลล์สตรีท ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนราคาเชื้อเพลิงและโภคภัณฑ์อื่นๆตามมาด้วย
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ชี้ว่า ปัจจัยพื้นฐานของราคาน้ำมันยังคงอ่อนแอเป็นส่วนใหญ่
ราคาน้ำมันดิบร่วงลงประมาณ 43 ดอลลาร์ นับแต่พุ่งทำสถิติที่ 147.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันที่ 11 ก.ค. จากความกังวลว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในประเทศพัฒนาแล้วจะบั่นทอนความต้องการใช้น้ำมัน ซึ่งความวิตกดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อปัญหาวุ่นวายในระบบการเงินสหรัฐได้นำไปสู่การล้มละลายของวาณิชธนกิจเลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้ง อิงค์ และการที่รัฐบาลต้องเข้าอุ้มบริษัทประกันรายใหญ่สุดของประเทศอย่าง อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ (เอไอจี) เป็นจำนวนเงินสูงถึง 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์
"ประชาชนตระหนักว่าเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ และราคาน้ำมันที่ระดับ 100 ดอลลาร์ในสภาวะแวดล้อมเหล่านี้นับว่ายังแพงมาก" สตีเฟน ชอร์ก นักวิเคราะห์และเทรดเดอร์น้ำมันในเพนซิลเวเนียกล่าว "ผมไม่เชื่อว่า ราคาน้ำมันจะกลับสู่ช่วงขาขึ้นถึงระดับ 150 ดอลลาร์อีก"
กลุ่มติดอาวุธในไนจีเรียที่เรียกตนเองว่า The Movement for the Emancipation of the Niger Delta ได้ออกมากล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ทางกลุ่มได้ระเบิดท่อส่งน้ำมันอีกเส้นหนึ่งซึ่งเป็นของบ.รอยัล ดัตช์ เชลล์ นับเป็นวันที่หกติดต่อกันของเหตุรุนแรงในประเทศไนจีเรีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในทวีปแอฟริกา
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า เทรดเดอร์จะไม่สนใจเหตุรุนแรงดังกล่าวเท่าใดนัก
มาร์ก เพอร์แวน นักยุทธศาสตร์สินค้าโภคภัณฑ์จาก ANZ Bank ในนครเมลเบิร์น กล่าวว่า ตอนนี้ตลาดเปลี่ยนไปโฟกัสที่อุปสงค์แทนอุปทาน ดังนั้นข่าวประเภทนี้ ซึ่งปกติจะเป็นปัจจัยส่งให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น กลับไม่ส่งผลมากอย่างที่เคย
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--