สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) คาดการณ์ว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มดีดตัวขึ้น หลังจากทรุดตัวลงหนักสุดในรอบ 52 ปี โดยคาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะได้รับแรงหนุนจากกลุ่มนักเก็งกำไรและข่าวที่ว่ารัฐบาลสหรัฐประกาศใช้มาตรการกอบกู้วิกฤตการเงินครั้งใหญ่
ทั้งนี้ ณ วันที่ 19 ก.ย. ดัชนี Standard & Poor's GSCI Index ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความเคลื่อนไหวของสินค้าโภคภัณฑ์ พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 18 ปี หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศทุ่มงบประมาณ 7 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเข้าซื้อหนี้เสียของสถาบันการเงิน โดยราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 6.8% ขณะที่ราคาข้าวสาลีและโลหะทองแดงพุ่งขึ้น 3.6%
"เศรษฐกิจสหรัฐกำลังเผชิญความท้าทายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องออกมาตรการต่างๆ และจะผ่านกฎหมายดังกล่าวโดยเร็วที่สุดเพื่อหวังฟื้นฟูความเชื่อมั่นและคลี่คลายสถานการณ์ในระบบการเงิน รวมถึงบรรเทาความตื่นตระหนกของผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็กเพื่อยุติวิกฤติการเงินที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ" ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช กล่าว ซึ่งนับเป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้ที่บุชได้ออกมากล่าวถึงวิกฤตการเงิน
ไมเคิล เพนโต นักยุทธศาสตร์ด้านกรลงทุนจากบริษัท Delta Global Advisors ในนิวเจอร์ซีกล่าวว่า "มาตรการเชิงรุกของรัฐบาลสหรัฐช่วยลดกระแสความตื่นตระหนก และเป็นปัจจัยบวกที่หนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้น ผิดจากในช่วง 6 สัปดาห์ที่แล้วที่นักลงทุนเทขายสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างหนักและปลีกตัวออกนอกตลาด แต่ขณะนี้นักลงทุนเริ่มกลับเข้าเทรดในตลาดอย่างคึกคัก"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานงานว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งทะยานขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 35 ปีในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ได้ทรุดตัวลงเพราะได้รับผลกระทบจากเศณษฐกิจที่ชะลอตัวลงและค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งแกร่งขึ้น
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/ปนัยดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--