นายนิทัศน์ ภัทรโยธิน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (ต.ส.ล. หรือ AFET) เปิดเผยว่า สิ่งที่ท้ายสำหรับ AFET ในปี 52 คือ วิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนและตลาดสินค้า Commodity ทั่วโลก, การแทรกแซงราคาของภาครัฐ, สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาครัฐมากขึ้นว่าตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร ซึ่งหากรัฐมีความเข้าใจพียงพอจะสามารถลดระดับงบประมาณที่รัฐต้องนำมาใช้แทรกแซงราคาได้, การนำราคาไปอ้างอิงในทั่วโลก, การกระจายข้อมูลราคาอย่างทั่วถึงทั้งระดับรากหญ้าและผู้ส่งออก, สร้างฐานนักลงทุนให้เพียงพอ, สร้างบุคคลากรในธุรกิจซื้อขายล่วงหน้า, สร้างศักยภาพการแข่งขันของ AFET ให้สู้กับต่างประเทศ
สำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนา AFET ในปี 52 คือ จะขยายฐานนักลงทุนใน AFET โดยการเพิ่มช่องทางการซื้อขายล่วงหน้ากับโบรกเกอร์ทางด้านหลักทรัพย์และโบรกเกอร์ต่างประเทศ โดยจะพยายามให้ทันไตรมาสที่ 1 ปี 52
ตลอดจนผลักดันให้เกิดการจัดตั้งกองทุนรวมสินค้าเกษตรล่วงหน้าของบลจ.ต่างๆและเพิ่มจำนวนสินค้าที่มีศักยภาพเข้ามาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อรองรับการขยายตัวของนักลงทุนดังกล่าว
นอกจากนี้ยังจะมีการส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐ เข้าใจและเข้ามาใช้ประโยชน์จากกลไกการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อทดแทนการรับจำนำในอนาคต ตลอดจนการกระจายข้อมูลราคาและความรู้เรื่องของการซื้อขายล่วงหน้าอย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่าย รวมทั้งจัดกิจกรรมทางการตลาดเชิงรุกให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย และการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ AFET และ บริษัทโบรกเกอร์ของ AFET
นายนิทัศน์ กล่าวว่า ปัจจุบันโบรกเกอร์ของ AFET มีอยู่ 9 ราย ในจำนวนนี้มี 4 รายที่สามารถดำเนินกิจการจน Cover Operation Cost และเริ่มมีกำไรแล้ว ส่วน AFET หากจะให้สามารถดำรงอยู่โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐจะต้องมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 3,000 สัญญาต่อวัน
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี โทร.0-2253-5050 ต่อ 322 อีเมล์: nisarat@infoquest.co.th--