ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงถึง 8.01 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (10 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นลบมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กเองก็ร่วงติดต่อกันเป็นวันที่ 8 แล้ว
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 8.01 ดอลลาร์ ปิดที่ 78.61 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากที่เคลื่อนตัวลงแตะระดับต่ำที่ 77.28 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2550
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 22.06 เซนต์ ปิดที่ 2.198 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ย.ตกลง 22.26 เซนต์ ปิดที่ 1.8047 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ย.ดิ่งลง 8.39 ดอลลาร์ ปิดที่ 74.27 ดอลลาร์/บาร์เรล
ฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจากอลารอน เทรดดิ้ง คอร์ป กล่าวว่า ราคาน้ำมันสะท้อนกำลังสะท้อนให้เห็นภาพตลาดหุ้นในขณะนี้ สภาพที่ตลาดขาดความมั่นใจ และกลัวว่าวิกฤตจะดำดิ่งมากไปกว่านี้
ทั้งนี้ นักลงทุนไม่ได้ให้ความสำคัญกับมาตรการสร้างเสถียรภาพในตลาดของนานาประเทศ ซึ่งรวมถึงมาตรการกอบกูภาคการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ของสหรัฐ อีกทั้งการร่วมมือกันลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศมหาอำนาจ
นอกจากนี้ สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ยังได้ปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันโลกในปีนี้ลง 240,000 บาร์เรลต่อวัน และของปีหน้าลง 440,000 บาร์เรลต่อวัน โดยให้เหตุผลเรื่องเศรษฐกิจที่ซบเซาและวิกฤตสินเชื่อ
ฟลินน์กล่าวว่า เกมปัจจัยพื้นฐานในตลาดน้ำมันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดีดขึ้นเพราะเศรษฐกิจโลกขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง แต่สถานการณ์เช่นนั้นสิ้นสุดลง ดังนั้น ตอนนี้นักลงทุนจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ใหม่
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--