ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือนเมื่อคืนนี้ (22 ต.ค.) หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบและเบนซินที่พุ่งขึ้นเกินความคาดหมาย ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งชี้เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงกำลังส่งผลให้ความต้องการพลังงานทรุดตัวลงด้วย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 5.43 ดอลลาร์ ปิดที่ 66.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย.ปีพ.ศ.2550
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 14.13 เซนต์ ปิดที่ 2.0562 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 12.1 เซนต์ ปิดที่ 1.5709 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 5.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 64.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบและสัญญาน้ำมันประเภทอื่นๆ หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 17 ต.ค.พุ่งขึ้น 3.2 ล้านบาร์เรล หรือ 1% แตะที่ระดับ 311.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าระดับเฉลี่ยของปีที่แล้วอยู่ประมาณ 0.7% และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 2.3 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 2.7 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 196.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.1 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรล แตะที่ 124.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 100,000 บาร์เรล
จิม ริทเทอร์บุช ประธานบริษัท Ritterbusch and Associates กล่าวว่า "สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ที่พุ่งขึ้นเกินคาดสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการพลังงานในสหรัฐลดน้อยลงเนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวลง เราคาดว่าหากสถานการณ์เศรษฐกิจยังเป็นเช่นนี้ ผู้บริโภคชาวอเมริกันจะขับขี่น้อยลงกว่าเดิม
ขณะที่ คอสทันซา จาคาซิโอ นักวิเคราะห์จาก Barclays Capital กล่าวว่า นักลงทุนจับตาดูการประชุมโอเปคนัดพิเศษในวันศุกร์ที่ 24 ต.ค.นี้ ซึ่งการที่โอเปคประกาศเลื่อนการประชุมฉุกเฉินให้เร็วขึ้นเป็นวันที่ 24 ต.ค.จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 18 พ.ย. ทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า โอเปคจะใช้การประชุมฉุกเฉินครั้งนี้เป็นโอกาสในการลดเพดานการผลิตลงประมาณ 1 ล้านบาร์เรล หรือมากกว่า เนื่องจากรัฐมนตรีกลุ่มโอเปคมีท่าทีวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก