ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง 93 เซนต์เมื่อคืนนี้ (27 ต.ค.) โดยในระหว่างวันราคาดิ่งลงเกือบแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มถดถอยจะทำให้ความต้องการพลังงานลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบสามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดขายบ้านที่เพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมาย ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอาจฟื้นตัวขึ้นในอนาคต
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 93 เซนต์ ปิดที่ 63.22 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีพ.ศ.2550 ที่ 61.30 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 0.1 เซนต์ ปิดที่ 1.4779 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 3.29 เซนต์ ปิดที่ 1.9144 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 64 เซนต์ ปิดที่ 61.41 ดอลลาร์/บาร์เรล
ปีเตอร์ บูเทล นักวิเคราะห์จากบริษัท Cameron Hanover กล่าวว่า ในระหว่างวันสัญญาน้ำมันดิบเดือนธ.ค.ดิ่งลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 61.30 ดอลลาร์ แต่ไม่นานราคาก็ดีดขึ้นจากระดับต่ำสุดได้หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ย.ดีดตัวขึ้น 2.7% แตะระดับ 464,000 ยูนิต ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูรายงานที่ว่ากระทรวงการคลังสหรัฐประกาศใช้มาตรการช่วยเหลือภาคการธนาคารครั้งใหม่ ด้วยการทำข้อตกลงกับธนาคาร 9 แห่งเพื่อเข้าซื้อหุ้นในธนาคารเหล่านี้ โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างงบดุลของธนาคารและกระตุ้นสภาพคล่องให้ลื่นไหล
"อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กไม่ได้ขานรับยอดขายบ้านและมาตรการครั้งใหม่ของกระทรวงการคลังสหรัฐ จึงทำให้ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี และส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดน้ำมัน NYMEX ผันผวนอย่างหนัก" บูเทลกล่าว
ผลสำรวจสถานีบริการน้ำมัน 7,000 แห่งในสหรัฐซึ่งจัดทำโดย Trilby Lundberg บ่งชี้ว่า น้ำมันเบนซินลดลง 53 เซนต์ หรือ 16% ในช่วงสองสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 24 ต.ค. ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบร่วงลง 56% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 147.27 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งสหรัฐ หรือ AAA กล่าวว่า ราคาน้ำมันเบนซินที่สถานีบริการน้ำมันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.699 ดอลลาร์/แกลลอน ลดลง 34% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.114 ดอลลาร์/แกลลอนเมื่อวันที่ 17 ก.ค. และลดลง 4.9% จากปีที่แล้ว
ดาร์เรน โฮโรวิทส์ นักวิเคราะห์จาก Raymond James & Associates กล่าวว่า "นักลงทุนมองข้ามโอเปคที่มีมติลดปริมาณการผลิตน้ำมัน 1.5 ล้านบาร์เรล/วันในการประชุมฉุกเฉินเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และหันไปให้ความสำคัญกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินใจของโอเปคไม่สามารถกำหนดทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกได้อีกต่อไป แต่ภาวะเศรษฐกิจระดับมหาภาคจะเป็นปัจจัยตัวใหม่ที่นักลงทุนให้ความสำคัญ"