ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 4 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (29 ต.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งนักลงทุนเชื่อว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นความต้องการพลังงานให้เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบเดือนธ.ค.อย่างคับคั่งหลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นน้อยเกินคาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการพลังงานในสหรัฐยังไม่ตกต่ำเท่าที่ประเมินไว้ในเบื้องต้น
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 4.77 ดอลลาร์ หรือ 7.6% ปิดที่ 67.50 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 5.18 ดอลลาร์ หรือ 8.6% ปิดที่ 65.47 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนพ.ย.ปิดบวก 8.90 เซนต์ แตะที่ 2.0010 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ย.ปิดบวก 7.75 เซนต์ แตะที่ 1.5330 ดอลลาร์/แกลลอน
แอนโทนี ฮาล์ฟ นักวิเคราะห์จากบริษัท Newedge USA LLC กล่าวว่า สัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นกว่า 10% ในระหว่างวันเนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าการลดดอกเบี้ยของเฟดจะช่วยกระตุ้นความต้องการพลังงานในสหรัฐให้พุ่งสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางจีนตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อเย็นวานนี้ และธนาคารกลางยุโรปมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลงด้วยนั้น ยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าความต้องการพลังงานทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
เฟดมีมติลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) 0.50% สู่ระดับ 1.00% และลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) 0.50% สู่ระดับ 1.25% โดยมีเป้าหมายสกัดกั้นเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอยและเพื่อสกัดกั้นวิกฤตการณ์ด้านการเงินไม่ให้ลุกลามเข้าไปสร้างความเสียหายในภาคส่วนอื่นๆมากไปกว่านี้ นอกจากนี้ เฟดเชื่อว่าการที่เฟดร่วมมือกับธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดนี้ จะช่วยเสริมสร้างระบบการเงินให้แข็งแกร่งขึ้น และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อไปได้
นูแมน บาราคัท นักวิเคราะห์จาก Macquarie Futures USA Inc.กล่าวว่า "ระยะนี้ทิศทางของตลาดน้ำมันนิวยอร์กถูกกำหนดด้วยความเคลื่อนไหวในตลาดเงินและตลาดทุน ซึ่งไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานด้านอุปสงค์-อุปทานโดยตรง นอกจากนี้ สถานการณ์ทางการเมืองทั่วโลกค่อนข้างนิ่ง โดยเฉพาะข่าวคราวความเคลื่อนไหวจากอิหร่าน"
"นอกเหนือจากการที่เฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว นักลงทุนยังทุ่มซื้อสัญญาน้ำมันดิบหลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นน้อยเกินคาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการพลังงานในสหรัฐยังไม่ตกต่ำมากเท่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้" บาราคัทกล่าว
กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 24 ต.ค.ขยับขึ้นเพียง 500,000 บาร์เรล แตะระดับ 311.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์ธอมสัน ไฟแนนเชียลคาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงเชื้อเพลิงดีเซลและน้ำมันฮีทติ้งออยล์ พุ่งขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 126.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 900,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 195.0 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ขณะที่อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.5% แตะระดับ 85.3%