ราคาทองคำในตลาดเอเชียร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ในวันนี้ และทำสถิติร่วงลงหนักสุดในรอบกว่า 25 ปี เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงส่งผลให้นักลงทุนลดความต้องการซื้อทองคำซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นการลงทุนทางเลือกใหม่
ข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า ราคาทองคำในตลาดเอเชียดิ่งลงไปแล้วกว่า 15% ในเดือนนี้ ซึ่งเป็นสถิติที่ลดลงรุนแรงสุดในรอบ 25 ปี ขณะที่ราคาน้ำมันทรุดตัวลง 37% และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งแกร่งขึ้น 7.3% เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักๆ 6 สกุลในเดือนนี้
เดวิด มัวร์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนด้านสินค้าโภคภัณฑ์จาก Commonwealth Bank of Australia ในเมืองซิดนีย์กล่าวว่า "ราคาทองร่วงลงเพราะได้รับอิทธิพลจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร และราคาน้ำมันที่ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลที่ว่า เศรษฐกิจที่อ่อนแอลงจะฉุดรั้งความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์จำพวกน้ำมันและทองคำให้ลดลงด้วย"
ทั้งนี้ ณ เวลา 10.26 น.ตามเวลาสิงคโปร์ ราคาทองคำแท่งในตลาดเอเชียลดลง 0.8% แตะระดับ 732.62 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากดิ่งลง 2.2% เมื่อวานนี้ ขณะที่ราคาโลหะเงินร่วงลง 4.2% แตะระดับ 9.38 ดอลลาร์/ออนซ์
อย่างไรก็ตาม อึ้ง เฉิน เต้ นักวิเคราะห์ด้านโลหะมีค่าจาก Standard Bank Asia กล่าวว่า ความเชื่อมั่นในตลาดทองคำเริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังจากมีข่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้อัดฉีดสภาพคล่องเป็นวงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์ให้กับธนาคารกลางเกาหลีใต้ ธนาคารกลางสิงคโปร์ ธนาคารกลางบราซิล และธนาคารกลางเม็กซิโก ผ่านการทำข้อตกลงสว็อปค่าเงิน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เฟดตัดสินใจกระตุ้นสภาพคล่องให้กับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
ขณะที่ไอเอ็มเอฟจัดตั้งกองทุนสินเชื่อระยะสั้นให้แก่ประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่กำลังถูกกระทบจากวิกฤตการณ์สินเชื่อที่ลุกลามไปทั่วโลก
เมื่อคืนนี้ สัญญาทองคำตลาด NYMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 738.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 15.50 ดอลลาร์ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หดตัวลง 0.3% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นการติดลบรุนแรงที่สุดในรอบ 7 ปี สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน