ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง 1.64 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (9 ธ.ค.) หลังจากที่สำนักงานข้อมูลพลังงานสหรัฐได้เปิดเผยรายงานคาดการณ์ปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลกที่คาดว่า จะร่วงลงถึง 50,000 บาร์เรลต่อวันในปีนี้ ประกอบกับความต้องการเชื้อเพลิงยังปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากภาคธุรกิจและผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.ตกลง 1.64 ดอลลาร์ ปิดที่ 42.07 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนม.ค.อ่อนตัวลง 2.54 เซนต์ ปิดที่ 93.64 เซนต์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนม.ค.ดีดตกลง 5.35 เซนต์ ปิดที่ 1.4369 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.ตกลง 2.08 ดอลลาร์ ปิดที่ 41.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานข้อมูลพลังงานฯยังได้คาดการณ์ว่า ปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลกในปี 2552 จะตกลงไปถึง 450,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้มาก
เมื่อเดือนที่แล้ว สำนักงานข้อมูลพลังงานฯคาดการณ์ว่า ปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 100,000 บาร์เรลต่อวันในปีนี้ และจะยังคงอยู่ในระดับที่ทรงตัวในปีหน้า ปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลกทั้งหมดคาดว่า จะอยู่ในช่วง 85-86 ล้านบาร์เรลต่อวัน
สำนักงานฯระบุว่า หากการคาดการณ์ดังกล่าวเป็นไปตามนี้ การใช้น้ำมันดิบทั่วโลกจะลดลงติดต่อกันต่อปีเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นเร็วกว่าหรือแข็งแกร่งกว่าที่สำนักงานฯได้คาดการณ์ไว้ในขณะนี้ ปริมาณการใช้น้ำมันก็อาจจะลดลงในระดับที่ไม่รวดเร็วนัก หรืออาจจะปรับตัวขึ้นก็เป็นได้ และอาจจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น
หลายฝ่ายยังคงจับตาดูท่าที่ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปคที่คาดว่า จะออกมาประกาศนโยบายในการควบคุมราคาน้ำมันไม่ให้ดิ่งลงมากไปกว่านี้อย่างไรในสัปดาห์หน้า ขณะที่นักวิเคราะห์ก็ยังสงสัยอยู่ว่า โอเปคจะมีอิทธิพลมากน้อยแค่ไหนต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในช่วงเศรษฐกิจถดถอยลุกลามไปทั่วโลก