ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (10 ธ.ค.) เพราะได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง และราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นหลังจากมีข่าวลือว่าซาอุดิอาระเบียจะลดการผลิตน้ำมัน
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาทองคำตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 808.80 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 34.60 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 774.20-813.90 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 10.200 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 35.00 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 5.2 เซนต์ ปิดที่ 1.4955 ดอลลาร์/ปอนด์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 840.00 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 27.50 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 185.75 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 6.25 ดอลลาร์
แมท เซมาน หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัท ลาซาล ฟิวเจอร์ส ในเมืองชิคาโก กล่าวแสดงความเห็นว่า ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นนักลงทุนให้กลับเข้าซื้อทองคำ ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐเคลื่อนไหวที่ระดับต่ำ จึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงไปด้วย โดยขณะนี้มีกระแสคาดการณ์ในวงกว้างว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจลดดอกเบี้ยลงอีกจนเหลือแค่ระดับ 0.50% ในการประชุมเดือนม.ค.ปีหน้า
ขณะที่ จอห์น มาร์ช หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัท ซูพีเรียร์ โกลด์ กรุ๊ป กล่าวว่า "ราคาทองคำมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแข็งแกร่ง เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มซบเซาลงอีก ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงจะทำให้สัญญาทองคำมีราคาถูกลง ซึ่งจูงใจนักลงทุนต่างชาติให้เข้าซื้อ"
ฮุสเซน อัลลิดินา นักวิเคราะห์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์จากมอร์แกน สแตนลีย์ คาดการณ์ว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้าราคาทองคำในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากหลากหลายปัจจัย รวมถึงผลผลิตทองคำจากเหมือนทั่วโลกปรับตัวลดลง ต้นทุนการผลิตทองคำในเหมืองพุ่งสูงขึ้น และความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้น