ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง 8% เมื่อคืนนี้ (17 ธ.ค.) โดยในระหว่างวันราคาได้ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 40 ดอลลาร์เป็นครั้งแต่นับตั้งช่วงฤดูร้อนปีพ.ศ.2547 แม้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (มีมติ) ลดกำลังการผลิตลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 2.2 ล้านบาร์เรล/วันก็ตาม นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเกินคาด
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.ร่วงลง 3.54 ดอลลาร์ หรือ 8% ปิดที่ 40.06 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีที่ 39.88 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 3.45 เซนต์ ปิดที่ 1.0055 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 1.77 เซนต์ ปิดที่ 1.4425 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 97 เซนต์ ปิดที่ 45.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
ไมเคิล ลินช์ ประธานบริษัท Strategic Energy & Economic กล่าวว่า "นักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาน้ำมันดิบหลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้นเกินคาด นักลงทุนไม่ต้องการเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบในยามที่สต็อกน้ำมันภายในประเทศมีอยู่อย่างเหลือเฟือ และไม่สนใจแม้แต่ข่าวที่ว่าโอเปคประกาศลดกำลังการผลิต"
กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 12 ธ.ค.เพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรล แตะระดับ 321.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 300,000 บาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นพุ่งขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 133.5 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 204.0 ล้านบาร์เรล ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันร่วงลง 3.3% สู่ระดับ 84.1%
นักลงทุนไม่ให้ความสนใจกับข่าวที่ว่ากลุ่มโอเปคมีมติลดกำลังการผลิตลง 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นการลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ปีพ.ศ.2552
ทิม อีแวนส์ นักวิเคราะห์จาก Citi Futures Perspective คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบ NYMEX จะร่วงลงจนถึงระดับ 30 ดอลลาร์/บาร์เรล และเชื่อว่ากลุ่มโอเปคจะไม่สามารถสกัดกั้นการร่วงลงของราคาน้ำมันได้ โดยเขากล่าวว่า "นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบน้อยมากเพราะความวิตกกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอย นักวิเคราะห์บางคนอาจมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่ราคาน้ำมันจะถอยลงไปอยู่ที่ 30 ดอลลาร์ แต่ผมเชื่อว่าราคาจะร่วงลงไปจนถึงระดับนั้น"
เมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค ประกาศปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันปีหน้าลงเหลือ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล จาก 90 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังหลายฝ่ายเชื่อว่าโอเปคไม่มีอำนาจพอที่จะหนุนตลาดอีกต่อไป เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันลดลงอย่างหนักในช่วงที่เศรษฐกิจโลกซบเซา
ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรลนับตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นมา ส่งผลให้รายได้การส่งออกของกลุ่มโอเปคทรุดตัวลงหนักที่สุดในรอบ 5 ปี โดยเอกวาดอร์ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มโอเปคยอมรับว่าหากรายได้ของโอเปคลดลงอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เอกวาดอร์ผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ นอกจากนี้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, คูเวต และกาตาร์ ต้องการให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล เพื่อเสริมดุลบัญชีเดินสะพัดและงบประมาณการคลังให้แข็งแกร่งขึ้น
MasterCard SpendingPulse เปิดเผยว่า ชาวอเมริกันลดการใช้น้ำมันเบนซินลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากตัวเลขว่างงานในสหรัฐพุ่งสูงขึ้น จึงทำให้ประชาชนลดการใช้จ่ายและลดการใช้ยานยนต์ โดยในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 12 ธ.ค. ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินลดลง 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว