สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิก พุ่งขึ้น 72 เซนต์ในช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะลดการผลิตน้ำมันลงอีก และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สต็อกน้ำมันทั่วโลกลดน้อยลงด้วย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ณ เวลา 10.07 น.ตามเวลาซิดนีย์ในวันนี้ สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนก.พ.ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกในตลาดเอเชีย พุ่งขึ้น 72 เซนต์ หรือ 1.7% แตะระดับ 43.08 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างคับคั่งในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากรัฐบาลสหรัฐอนุมัติเงินกู้ฉุกเฉินจำนวน 1.74 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อช่วยเหลือบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่างเจนเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) และไครสเลอร์ แอลแอลซี ให้รอดพ้นจากภาวะล้มละลาย โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องเศรษฐกิจไม่ให้ถดถอยรุนแรง
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า นายอาลี อัล-ไนมี รมว.พลังงานซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า กลุ่มโอเปคต้องการสร้างเสถียรภาพในตลาดน้ำมันและอาจจะพิจารณาปรับลดการผลิตน้ำมันลงอีกในการประชุมวันที่ 15 มี.ค.ปีหน้า
การส่งสัญญาณครั้งล่าสุดของโอเปคมีขึ้นหลังจากรัฐมนตรีพลังงานกลุ่มโอเปคมีมติลดกำลังการผลิตลง 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน หรือลดลง 9% ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ปีพ.ศ.2552 ส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันของ 11 ประเทศสมาชิกโอเปคลดลงเหลือเพียง 24.845 ล้านบาร์เรล/วัน
ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรลนับตั้งแต่เดือนก.ค.เป็นต้นมา ส่งผลให้รายได้การส่งออกของกลุ่มโอเปคทรุดตัวลงหนักที่สุดในรอบ 5 ปี โดยเอกวาดอร์ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มโอเปคยอมรับว่าหากรายได้ของโอเปคลดลงอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เอกวาดอร์ผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ นอกจากนี้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, คูเวต และกาตาร์ ต้องการให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล เพื่อเสริมดุลบัญชีเดินสะพัดและงบประมาณการคลังให้แข็งแกร่งขึ้น