สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (23 ม.ค.) จากปัจจัยหนุนของนักลงทุนที่หลั่งไหลเข้าส่งสัญญาซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ท่ามกลางความกังวลว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะปรับลดกำลังการผลิตลงมากน้อยแค่ไหน
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 2.80 ดอลลาร์ หรือกว่า 6% ปิดที่ 46.47 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดของวันที่ 41.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 6.1 เซนต์ ปิดที่ 1.1544 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ไต่ระดับขึ้น 10.19 เซนต์ ปิดที่ 1.4505 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนงวดส่งมอบเดือนมี.ค. พุ่งขึ้น 2.98 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
ฟิล ไฟลนน์ นักวิเคราะห์จาก Alaron Trading Corp กล่าวว่า เทรดเดอร์ยังจับทางไม่ถูกว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดน้ำมันจะเคลื่อนไหวในแดนบวกและแดนลบหลังจากเมื่อปีที่แล้วสัญญาแกว่งตัวผันผวนอย่างมากจากระดับสูงสุดที่ 147 ดอลลาร์/บาร์เรลมาอยู่ต่ำกว่าระดับ 33 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อช่วงที่ผ่านมา และเขาคาดว่าราคาน้ำมันจะยังแกว่างตัวผันผวนในระยะนี้
แอดดิสัน อาร์มสตรอง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านการตลาดของ Tradition Energy คาดว่า โอเปคยังคงเข้มงวดในการควบคุมเพดานการผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน และคาดว่าจะมีมติให้ลดกำลังการผลิตลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับ 24.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังมีความวิตกกังวลต่อสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเกินคาดที่ 14% ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน (EIA) ของสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 33.2 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะดีดตัวขึ้นเพียง 1.4 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล แตะระดับ 145.0 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 500,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 6.5 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 220.0 ล้านบาร์เรล ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐที่ซบเซาอย่างมาก