ราคาน้ำมันทรงตัวเกือบแตะระดับ 41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในตลาดเอเชีย หลังนักลงทุนไม่ให้ความสำคัญกับข่าวที่ว่าโอเปคจะลดกำลังการผลิตน้ำมันอีก ในขณะเดียวกันสหรัฐก็เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
สัญญาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนมี.ค.ปรับตัวสูงขึ้น 16 เซนต์ แตะ 40.49 ดอลลาร์ในช่วงกลางวันที่ตลาดสิงคโปร์ หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้น 70 เซนต์ ปิดที่ 40.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อคืนที่ผ่านมา
เมื่อวานนี้สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านเริ่มดีดตัวขึ้น โดยยอดขายบ้านมือสองที่รอปิดการขายปรับตัวสูงขึ้น 6.3% ในเดือนธ.ค. ซึ่งอาจส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจถดถอยลงสู่จุดต่ำสุดและกำลังจะฟื้นตัวแล้ว
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลอื่นบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอาจถดอยลงอีก โดยยอดขายรถยนต์และรถกระบะในสหรัฐร่วงลงกว่า 37% ในเดือนม.ค. ซึ่งยอดขายของจีเอ็มร่วงลง 49% และ ฟอร์ด มอเตอร์ ลดลง 40%
ด้านผลประกอบการของหลายบริษัทก็ค่อนข้างมืดมน โดยโมโตโรล่าขาดทุนกว่า 3.6 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนวอลท์ ดิสนีย์ ก็มีกำไรรายไตรมาสลดลงกว่า 32%
"นี่อาจเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดในช่วงชีวิตของเราหลายคน" โรเบิร์ต อีเกอร์ ซีอีโอของดิสนีย์ กล่าว
ในขณะเดียวกัน โอเปคก็ตั้งเป้าว่าจะลดกำลังการผลิตลง 4.2 ล้านบาร์เรลนับตั้งแต่เดือนก.ย.ที่ผ่านมา และส่งสัญญาณว่าอาจลดกำลังการผลิตอีกในช่วง 2-3 เดือนหลังจากนี้หากราคาน้ำมันไม่ดีดตัวขึ้น
อย่างไรก็ตาม โทนี่ ฮัสซัล นักวิเคราะห์จากบริษัท คอมโมดิตี วอร์แรนท์ส ออสเตรเลีย ในซิดนีย์ กล่าวว่า "โอเปคคงลังเลที่จะลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม เนื่องจากโอเปคคงไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยยาวนานและรุนแรงเกินกว่าที่ควรจะเป็น"
"ราคาน้ำมันมีแนวโน้มทรงตัวไปอีก 2-3 เดือน ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก" นายฮัสซัลกล่าว สำนักข่าวเอพีรายงาน