สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (25 ก.พ.) หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันเบนซินที่ร่วงลงเกินความคาดหมายและสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าดีมานด์พลังงานยังคงเพิ่มขึ้นแม้ในยามที่เศรษฐกิจถดถอยและตัวเลขว่างงานพุ่งสูงขึ้นก็ตาม
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 2.54 ดอลลาร์ หรือ 6.36% ปิดที่ 42.50 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 39.40-42.80 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดบวก 2.95 เซนต์ แตะที่ 1.2377 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาหลังน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดบวก 8.30 เซนต์ แตะที่ 1.1667 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 1.79 ดอลลาร์ ปิดที่ 44.29 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัว ในช่วง 41.85-44.50 ดอลลาร์
ฟิล ไฟนน์ นักวิเคราะห์จากบริษัท อลารอน เทรดดิ้ง กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างคึกคัก หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 20 ก.พ.เพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล แตะระดับ 351.3 ล้านบาร์เรล แต่ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 3.4 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 215.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับลงเพียง 100,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการกลั่นน้ำมันลดลง 0.9% เหลือเพียง 81.4% มากกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง 0.1%
"สต็อกน้ำมันเบนซินที่ร่วงลงเกินความคาดหมายและสต็อน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นน้อยเกินคาด สะท้อนให้เห็นว่าแม้สหรัฐเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและตัวเลขว่างงานที่พุ่งขึ้นรุนแรง แต่ดีมานด์พลังงานยังคงเพิ่มขึ้นและผู้บริโภคยังคงขับขี่ยานยนต์" ไฟนน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เจอ็อฟ ซันสตรอม นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งสหรัฐ (AAA) กล่าวว่า "ยังเร็วเกินไปที่จะชี้ชัดว่าผู้ขับขี่ยานยนต์ในสหรัฐหันกลับมาใช้จ่ายด้านพลังงานกันมากขึ้น เราควรจะพิจารณาข้อมูลด้านเศรษฐกิจเป็นองค์ประกอบในการประเมินเรื่องนี้ โดยเฉพาะข้อมูลยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค.และข่าวการเลย์ออฟพนักงานของบริษัทเอกชน
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติรายงานว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค.ร่วงลง 5.3% เหลือเพียง 4.49 ล้านยูนิต ขณะที่ราคาบ้านโดยเฉลี่ยลดลง 14.8% เหลือเพียง 170,300 ดอลลาร์ ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ในโพลล์บลูมเบิร์กคาดการณ์ไว้ว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนม.ค.จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% มาอยู่ที่ 4.79 ล้านหลังต่อปี
บริษัท Saks Inc. ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังของสหรัฐเปิดเผยว่า บริษัทขาดทุนอย่างหนักในไตรมาส 4 แม้มีการประกาศลดราคาสินค้าแล้วก็ตาม ขณะที่บริษัท นอร์เทล เน็ทเวิร์คส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการสื่อสารเปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปลดพนักงาน 3,200 คนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
นักลงทุนติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) หลังจากอิหร่านซึ่งเป็นสมาชิกรายใหญ่ของโอเปคกล่าว่า โอเปคอาจตัดสินใจปรับลดการผลิตลงอีกครั้งในการประชุมเดือนมี.ค. หากราคาน้ำมันดิบยังร่วงลงอีก