สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อคืนนี้ (9 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนตอบรับกระแสคาดการณ์ที่ว่ากลุ่มโอเปคจะลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีกในการประชุมวันที่ 15 มี.ค.นี้
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดพุ่ง 1.55 ดอลลาร์ แตะที่ 47.07 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินเดือนเม.ย.ดีดขึ้นแตะระดับ 1.3351 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนเม.ย.ลดลง 1.4 เซนต์ ปิดที่ 1.2294 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 72 เซนต์ ปิดที่ 44.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทอม โคลซา นักวิเคราะห์จาก Oil Price Information Service กล่าวว่า สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นรับกระแสคาดการณ์ที่ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะลดกำลังการผลิตลงอีกในการประชุมวันที่ 15 มี.ค.นี้ ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
ปิแอร์ อองดูรองด์ ผู้บริหารบริษัท BlueGold Capital Management LLP ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ของอังกฤษ คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้น 37% แตะที่ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล หากกลุ่มโอเปคมีมติลดกำลังการผลิตในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการลดกำลังการผลิตครั้งที่ 4 นับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีพ.ศ.2551 เพื่อสกัดกั้นการร่วงลงของราคาน้ำมัน
"จนถึงขณะนี้กลุ่มโอเปคได้พร้อมใจกันลดกำลังการผลิต และคาดว่าพวกเขาจะเห็นพ้องให้ลดการผลิตลงอีกในการประชุมเดือนนี้ ซึ่งคาดว่าจะหนุนราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับ 60 ดอลลาร์ทันที" อองดูรองด์กล่าว
กระแสคาดการณ์ที่ว่าโอเปคจะลดกำลังการผลิตมีขึ้นหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดว่าดีมานด์พลังงานในปีนี้จะร่วงลงหนักสุดในรอบ 27 ปี และหลังจากสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 7.7% ในปีนี้ ซึ่งเกือบแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ลีโอ ดรอลลัส รองผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพลังงานโลกคาดการณ์ว่า ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นสมาชิกรายใหญ่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในกลุ่มโอเปคจะออกมาขัดขวางแผนการลดกำลังการผลิตในการประชุมวันที่ 15 มี.ค.นี้ เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้ทำให้รายได้จากการขายน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอยู่แล้ว
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 6 มี.ค. ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 400,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 200,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 800,000 บาร์เรล