สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงต่ำกว่าระดับ 49 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (30 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในทุกภูมิภาคตั้งแต่เอเชียไปจนถึงสหรัฐอเมริกา อาจทำให้ความต้องการพลังงานหดตัวลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันมากขึ้นหลังจากรัฐบาลสหรัฐตัดสินใจไม่อุ้มกิจการของค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่างเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) และไครสเลอร์
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.ดิ่งลง 3.97 ดอลลาร์ หรือกว่า 7.6% ปิดที่ 48.41 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 50.40-48.41 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 10.8 เซนต์ ปิดที่ 1.3799 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 9.02 เซนต์ ปิดที่ 1.3426 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนพ.ค.ดิ่งลง 3.19 ดอลลาร์ ปิดที่ 47.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
จิม ริทเทอร์บุช ประธานบริษัท ริทเทอร์บุช แอนด์ แอสโซซิเอทส์ กล่าวว่า นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกอาจทำให้ความต้องการพลังงานหดตัวลงด้วย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากรายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินความคาดหมายและตัวเลขว่างงานรายเดือนที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง โดยริทเทอร์บุชคาดว่าสัญญาน้ำมันดิบเดือนพ.ค.อาจดิ่งลงแตะระดับ 47 ดอลลาร์เร็วๆนี้
กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 20 มี.ค.พุ่งขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 356.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 1.2 ล้านบาร์เรล
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่าคณะทำงานเฉพาะกิจด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐมีมติคัดค้านแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) และบริษัทไครสเลอร์ โดยให้เหตุผลว่าค่ายรถยนต์ทั้งสองไม่ได้นำเสนอแผนปรับโครงสร้างที่น่าเชื่อถือถึงขนาดทำให้กิจการดำรงอยู่ต่อไปได้ และคาดว่าบริษัทรถยนต์ทั้งสองแห่งอาจดำเนินกิจการต่อไปได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น
นักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) นับตั้งแต่โอเปคมีมติคงเพดานการผลิตในการประชุมที่กรุงเวียนนาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และจะมีการประเมินสถานการณ์ในตลาดพลังงานอีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นวันที่ 28 พ.ค.นี้ โดยปัจจุบันเพดานการผลิตน้ำมันของโอเปคอยู่ที่ 24.84 ล้านบาร์เรล/วัน
นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่จับตาดูอัตราว่างงานเดือนก.พ.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันศุกร์ที่ 3 เม.ย.นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า อัตราว่างงานประจำเดือนมี.ค.ของสหรัฐจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 8.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี จากเดือนก.พ.ที่ระดับ 8.1% และคาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payroll) เดือนมี.ค.จะร่วงลง 660,000 คน ซึ่งจะทำให้จำนวนคนตกงานโดยรวมพุ่งขึ้นเป็น 5 ล้านคน