สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 3% เมื่อคืนนี้ (6 เม.ย.) หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยอัตราว่างงานที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายทำกำไรก่อนที่บริษัทเอกชนจะเริ่มเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกในสัปดาห์นี้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวจะเป็นสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางราคาน้ำมันในตลาดล่วงหน้า
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.ร่วงลง 1.46 ดอลลาร์ หรือเกือบ 3% ปิดที่ 51.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ค.ลดลง 1.69 เซนต์ ปิดที่ 1.4924 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนพ.ค.ลดลง 2.69 เซนต์ ปิดที่ 1.4191 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนพ.ค.ร่วงลง 1.23 ดอลลาร์ ปิดที่ 52.24 ดอลลาร์/บาร์เรล
ฟิล ไฟนน์ นักวิเคราะห์จากบริษัท อลารอน เทรดดิ้ง คอร์ป กล่าวว่า นักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาน้ำมันดิบหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนมี.ค.ร่วงลง 663,000 ตำแหน่ง และอัตราว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับ 8.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราว่างงานในสหรัฐจะพุ่งขึ้นอีกซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนลดการใช้จ่ายและจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยรุนแรงขึ้น
กระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ในคืนวันพุธตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.2% แตะระดับ 82.2%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมโอเปคในวันที่ 28 พ.ค.นี้ หลังจากโอเปคมีมติคงเพดานการผลิตในการประชุมครั้งก่อนที่กรุงเวียนนา โดยปัจจุบันเพดานการผลิตน้ำมันของโอเปคอยู่ที่ 24.84 ล้านบาร์เรล/วัน
ไฟนน์กล่าวว่า "ฤดูการขับขี่ยานยนต์ในหน้าร้อนของสหรัฐกำลังจะเริ่มขึ้นและจะเป็นปัจจัยชี้วัดว่าเศรษฐกิจสหรัฐได้รับผลกระทบสาหัสเพียงใด ซึ่งหากปริมาณการใช้พลังงานยังลดน้อยลงเหมือนฤดูกาลที่แล้วก็แสดงว่าเศรษฐกิจในปีนี้มีแนวโน้มหดตัวรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากอัตราว่างงานเดือนมี.ค.ที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง"