สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 4% เมื่อคืนนี้ (13 เม.ย.) หลังจากที่สำนักงานพลังงานสากลได้ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.ปรับตัวลง 2.19 ดอลลาร์ ปิดที่ 50.05 ดอลลาร์ หลังจากที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดที่ 48.84 ดอลลาร์ในการซื้อขายระหว่างวัน
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ค.ลดลง 1.78 เซนต์ ปิดที่ 1.4632 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนพ.ค.ลดลง 3.08 เซนต์ ปิดที่ 1.3980 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ค.ลดลง 1.92 ดอลลาร์ ปิดที่ 52. 14 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้น โดยเทรดเดอร์ในตลาดน้ำมันจับตาดูตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจพร้อมที่จะฟื้นตัวหรือยัง โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดพุ่งขึ้น 6% ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดพุ่ง 246.27 จุด หรือ 3.14% แตะระดับสูงสุดในรอบสองเดือน ก่อนที่ตลาดจะปิดทำการในวันศุกร์เนื่องในวัน Good Friday
อย่างไรก็ตาม ตลาดวอลล์สตรีทกลับมาเปิดการซื้อขายในวันแรกของสัปดาห์ไม่สดใสนัก และนักลงทุนในตลาดน้ำมันยังให้ความสนใจกับรายงานความต้องการพลังงานประจำปีนี้ของไออีเอ
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ สำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ) ได้เปิดเผยรายงานคาดการณ์อุปสงค์น้ำมัน ซึ่งระบุว่าความต้องการน้ำมันโลกจะปรับตัวลง 2.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ระดับ 83.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ รายงานระบุว่า เศรษฐกิจที่ตกต่ำได้ฉุดให้การใช้พลังงานลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นยุค 1980
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูรายงานแนวโน้มพลังงานระยะสั้นจากกระทรวงพลังงานสหรัฐ และแนวโน้มรายเดือนจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ซึ่งจะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ รวมไปถึงผลประกอบการไตรมาสแรกของบรรดาธนาคารและบริษัทเอกชน อาทิ โกลด์แมน แซคส์, ซิตี้กรุ๊ป และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ตลอดจนเจเนอรัล อีเลคทริก, อินเทล คอร์ป และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งจะบ่งชี้ได้ว่าช่วงขาลงของเศรษฐกิจได้ถึงจุดสิ้นสุดหรือยัง
โดยในสัปดาห์นี้ ยังมีกำหนดการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้บริโภค ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และตัวเลขการสร้างบ้านใหม่อีกด้วย