นายนิทัศน์ ภัทรโยธิน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย(AFET)คาดว่า การซื้อขายสัญญาล่วงหน้ายางพาราจะกลับมาคึกคักอีกครั้งจากปัจจัยสนับสนุนทั้งในเรื่องของอุปสงค์และอุปทาน
ประกอบกับข้อมูลเกี่ยวกับการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกที่คาดว่าการส่งออกยางของไทยมีแนวโน้มเริ่มคึกคักขึ้นในไตรมาสที่ 2 หลังจากประเทศจีนประกาศการขยายตัวของเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 6% โดยอุตสาหกรรมยางล้อรถยนต์ได้มีสัญญาณการขยายตัวตามอุตสาหกรรมรถยนต์ ประกอบกับสต็อกยางเริ่มหดตัวลง โดยเฉพาะในตลาดเซี่ยงไฮ้ ทำให้มีการสั่งซื้อยางพาราเพิ่มขึ้น นับเป็นการส่งสัญญาณในเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจโลกอีกด้วย
พร้อมทั้ง การไม่ต่ออายุมาตรการระยะสั้นในการแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำตามมติที่ประชุมสภาความร่วมมือด้านยางระหว่างประเทศ (IRTC) ที่ไทยจะต้องลดการส่งออกในช่วงไตรมาสแรก(ม.ค.-มี.ค) อันทำให้การส่งออกมีความล่าช้า เนื่องจากต้องมีการตรวจสอบสต๊อกยางของผู้ส่งออก และควบคุมการออกใบผ่านด่านไม่ให้ส่งออกยางในปริมาณเกินที่กำหนดแต่ละเดือน ส่งผลให้ไตรมาสแรกมีปริมาณการซื้อขายยางลดลงอย่างมาก
นอกจากนี้ ราคายางในตลาดจริงเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวและมีทิศทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากตั้งแต่กลางเดือนเมษายนนี้ที่จะเป็นช่วงเปิดหน้ายางและเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลกรีดยาง เป็นผลให้ปริมาณยางเริ่มทยอยออกสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้ผู้ซื้อผู้ขายในตลาดจริงเริ่มรับซื้อยางและวางแผนการผลิตรอบใหม่
สำหรับการซื้อขายใน AFET ก็เป็นไปตามภาวะของตลาดยางทั้งในและต่างประเทศ โดยความผันผวนของราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) ในเดือนมกราคม เท่ากับ 61.43% เดือนกุมภาพันธ์ เทากับ 15.90% และล่าสุดเดือนมีนาคม ความผันผวนเริ่มสูงขึ้น เท่ากับ 22.92% สำหรับในเดือนเมษายน ความผันผวนของราคาได้กลับมาเพิ่มสูงขึ้นเป็น 46.30% ตามปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานประกอบกับราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยนของเงินดอลล่าร์สหรัฐและเงินเยนมีความผันผวนมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลก