สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่ตลาดสิงคโปร์ปรับตัวลดลงในช่วงเที่ยงวันนี้ หลังสหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันที่ลดลง ซึ่งบดบังมุมมองในแง่บวกของนักลงทุนที่มีต่อฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ในช่วงเที่ยงวันนี้ สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนพ.ค.ลดลง 37 เซนต์แตะระดับ 48.48 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยเมื่อวานนี้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 30 เซนต์ปิดที่ระดับ 48.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 54 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อเดือนที่แล้ว จากระดับต่ำกว่า 35 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือนก.พ.เป็นผลจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า วิกฤตเศรษฐกิจถดถอยครั้งรุนแรงที่สุดอาจสิ้นสุดลงแล้ว แต่อัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้น และการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ลดลงประกอบกับการรายงานผลประกอบการที่ย่ำแย่ล้วนบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มองว่าเศรษฐกิจจะดีดตัวขึ้นได้ในเร็วๆนี้
โทบี้ ฮาสซาลล์ นักวิเคราะห์จาก Commodity Warrants Australia ในซิดนีย์กล่าวว่า "ขณะนี้มีหลักฐานเพียงพอที่บ่งชี้ว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจเริ่มแข็งแกร่งขึ้น"
ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 17 เม.ย.เพิ่มขึ้น 3.9 ล้านบาร์เรลแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล
ด้านปริมาณการใช้น้ำมันดิ่งลงกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยอัตราการใช้น้ำมันเฉลี่ยในรอบ 4 สัปดาห์ที่ระดับ 18.5 ล้านบาร์เรลต่อวันนั้นเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2542
ขณะเดียวกัน IMF คาดว่าอัตราการใช้น้ำมันดิบของสหรัฐในช่วงไตรมาสที่สองจะลดลง 610,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่อุปสงค์น้ำมันในจีนจะเพิ่มขึ้นเพียง 20,000 บาร์เรลต่อวัน