สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเป็นวันที่สามติดต่อกันเมื่อคืนนี้ (24 เม.ย.) หลังจากที่ตลาดวอลล์สตรีทปิดบวกแข็งแกร่งและเงินดอลลาร์อ่อนค่า นักลงทุนมองว่าตลาดหุ้นที่เดินหน้าเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นแล้ว ซึ่งจะส่งผลสืบเนื่องให้ความต้องการเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นด้วย โดยราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวตามทิศทางของตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิดในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ไต่ขึ้น 1.93 ดอลลาร์ ปิดที่ 51.55 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนพ.ค.ขยับขึ้น 5.04 เซนต์ ปิดที่ 1.3683 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 4.76 เซนต์ ปิดที่ 1.442 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.56 ดอลลาร์ แตะที่ 51.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดปรับตัวขึ้น 119.23 จุด หรือ 1.50% แตะที่ 8,076.29 จุด ซึ่งเป็นการปิดที่เหนือระดับ 8,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ หลังจากบริษัทเอกชนหลายแห่งเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด อาทิ ฟอร์ด มอเตอร์ โค, อเมริกัน เอ็กซ์เพรส และไมโครซอฟท์
นอกจากนี้รัฐบาลยังได้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สร้างความหวังให้กับตลาดเช่นกัน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผย ยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค.ลดลง 0.6% จากเดือนก่อนหน้า แตะที่ 356,000 หลัง ซึ่งดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ และเป็นข้อพิสูจน์อีกประการหนึ่งว่าตลาดอาจกำลังมีเสถียรภาพมากขึ้น
พร้อมกันนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้เปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนว่า ร่วงลง 0.8% ในเดือนมี.ค. ซึ่งดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะลดลง 1.5%
อย่างไรก็ดี สตีเฟน ชอร์ก เทรดเดอร์และนักวิเคราะห์ มองว่า ราคาไม่น่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางที่เป็นบวก โดยเชื่อว่าเทรดเดอร์คงจะคลายความวิตกเรื่องดีมานด์เชื้อเพลิงที่ต่ำสุดในรอบสิบปี ตลอดจนสต็อกน้ำมันที่พุ่งทะยานขึ้นเป็นการชั่วคราวเท่านั้น
ฟิล ไฟน์ นักวิเคราะห์จากอลารอน เทรดดิ้ง กล่าวว่า นักลงทุนให้น้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นนิวยอร์กมากกว่าสต็อกน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเกินคาด โดยเมื่อวันพุธ กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 17 เม.ย.พุ่งขึ้น 3.9 ล้านบาร์เรล แตะที่ 370.6 ล้านบาร์เรลซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 19 ปี
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล แตะที่ 217.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 400,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นพุ่งขึ้น 2.7 ล้านบาร์เรล แตะที่ 142.3 ล้านบาร์เรล แต่ยังน้อยกว่าที่คาดว่าจะร่วงลง 700,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 3% แตะที่ 83.4% มากกว่าที่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.7%
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายงานว่า ปริมาณการใช้น้ำมันในสหรัฐ จีน และประเทศอื่นๆในกลุ่มชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยคาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันในสหรัฐจะลดลง 610,000 บาร์เรลต่อวัน และในจีนจะลดลง 20,000 บาร์เรลต่อวัน