สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่ตลาดสิงคโปร์ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 วันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกที่ฟื้นตัวได้ช้านั้นอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันในตลาดโลก โดยนายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส ผอ.สภาเศรษฐกิจแห่งชาติของทำเนียบขาวกล่าววานนี้ว่า สหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกจะยังคงเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปอีกระยะหนึ่ง ขณะเดียวกันนายชาคิบ เคห์ลิล รัฐมนตรีน้ำมันจากอัลจีเรียกล่าวว่า ผลผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากบรรดาประเทศนอกกลุ่มโอเปคทำให้ตลาดมีผลผลิตน้ำมันล้นตลาดประมาณ 720,000 บาร์เรลต่อวัน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ในช่วงเที่ยงวันนี้ สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนมิ.ย.ดิ่งลงหนักสุด 80 เซนต์ หรือ 1.6% แตะระดับ 50.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่ง ณ เวลา 7:54 น.ตามเวลาสิงคโปร์ ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวที่ระดับ 50.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์งวดส่งมอบเดือนมิ.ย.ที่ตลาดไออีซีในกรุงลอนดอนปรับตัวลง 52 เซนต์ หรือ 1% แตะที่ 51.15 ดอลลาร์/บาร์เรล
โทบี ฮาสซาล นักวิเคระห์จาก Commodity Warrants Australia Pty ในซิดนีย์กล่าวว่า "เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นถึงสถานการณ์ของราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น โดยเศรษฐกิจยังเผชิญกับปัจจัยลบหลายประการในระยะนี้"
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันทะยานขึ้น 3.9% แตะที่ 51.55 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงขณะที่ ราคาตลาดหุ้นพุ่งสูงขึ้น ซึ่งความเคลื่อนไหวเช่นนี้กระตุ้นให้มีการลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
นายอัลดาลา เอล-บาดรี เลขาธิการกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบที่มีเสถียรภาพต่อการลงทุนควรเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล อย่างไรก็ตาม นายคาห์ลีลคาดว่า ราคาน้ำมันอาจพุ่งแตะที่ระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงสิ้นปีนี้
ขณะเดียวกัน ซาอุดิอาระเบีย ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดกำลังเผชิญแรงกดดันจากกลุ่มประเทศสมาชิกโอเปคให้ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก