สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (8 พ.ค.) หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเผยตัวเลขจ้างงานที่ดีกว่าคาดการณ์ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ถูกปกคลุมด้วยมุมมองในแง่บวกได้กระตุ้นให้นักลงทุนต้องการย้ายฐานการลงทุนเข้ามาในตลาดน้ำมันมากขึ้น
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.92 ดอลลาร์ ปิดที่ 58.63 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งทำสถิติปิดแตะระดับสูงสุดในปีนี้
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 2.62 เซนต์ ปิดที่ 1.6917 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เพิ่มขึ้น 2.25 เซนต์ ปิดที่ 1.5077 ดอลลาร์/แกลลอน
ไมเคิล ลินช์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Strategic Energy & Economic Research กล่าวว่า "นักลงทุนต่างขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในขณะนี้ แต่หากพ้นจากช่วงวันหยุดที่เป็นฤดูกาลขับขี่รถแล้ว ก็ยังยากที่จะมองเห็นถึงทิศทางของมุมมองของประชาชนที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจอันจะมีผลต่อราคาน้ำมัน"
ทั้งนี้ ราคาขายปลีกนน้ำมันเบนซินอยู่ที่ประมาณ 2 ดอลลาร์/แกลลอน ซึ่งไต่ระดับเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 8 ติดต่อกัน
รัฐบาลสหรัฐได้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยชี้นำทิศทางของราคาน้ำมัน โดยล่าสุดกระทรวงแรงงานระบุว่า ตัวเลขจ้างงานในเดือนเม.ย.ร่วงลง 539, 000 ตำแหน่ง ซึ่งทำสถิติลดลงน้อยที่สุดในรอบ 6 เดือน หลังจากที่เคยทรุดฮวบลง 699,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. และน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะดิ่งลง 610,000 ตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงานในสหรัฐยังคงไต่ระดับขึ้นแตะที่ 8.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2526 เนื่องจากนายจ้างยังคงปลดพนักงานท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยผลทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของ 19 สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า สถานภาพทางการเงินของธนาคารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐที่ไม่ได้เลวร้ายมากอย่างที่หลายฝ่ายวิตกกังวลกัน แต่มีสถาบันการเงิน 10 แห่งในจำนวน 19 แห่งที่ทำการทดสอบต้องระดมทุนล็อตใหม่เพิ่มราว 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะขาดทุนในกรณีที่เศรษฐกิจเลวร้ายลงอีก