สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (24 มิ.ย.) หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้นเหนือความคาดหมายและทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าดีมานด์พลังงานหดตัวลงเนื่องจากเศรษฐกิจถดถอย
สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 57 เซนต์ ปิดที่ 68.67 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 68.67-68.67 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ค.ลดลง 5.07 เซนต์ ปิดที่ 1.8425 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ค.ลดลง 3.09 เซนต์ ปิดที่ 1.7381 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 47 เซนต์ ปิดที่ 68.33 ดอลลาร์/บาร์เรล
แมทท์ เซมาน นักวิเคราะห์จากบริษัท LaSalle Futures ในเมืองชิคาโก กล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบเนื่องจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่าดีมานด์พลังงานหดตัวลงเนื่องจากเศรษฐกิจถดถอย หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันเบนซินในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 19 มิ.ย. เพิ่มขึ้น 3.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 208.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 152.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 800,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันพุ่งขึ้น 1.2% แตะระดับ 87.1% อย่างไรก็ตาม สต็อกน้ำมันดิบลดลง 3.8 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 353.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 1.0 ล้านบาร์เรล
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ 0-0.25% โดยมีเป้าหมายที่จะพยุงเศรษฐกิจสหรัฐให้กลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง พร้อมกล่าวว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงราคาพลังงานยังคงปรับตัวสูงขึ้น แต่เฟดเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาในขณะนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สกัดกั้นเงินเฟ้อได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมัน NYMEX ได้แรงหนุนหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพุ่งขึ้น 1.8% ในเดือนพ.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 0.9%