สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) เพราะได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่าตัวเลขการออมส่วนบุคคลในสหรัฐพุ่งขึ้นสูงกว่าตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าตัวเลขเงินออมที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ดีมานด์พลังงานในสหรัฐลดลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX เดือนส.ค.ร่วงลง 1.07 ดอลลาร์ ปิดที่ 69.16 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 69.84-69.00 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ค.ลดลง 2.42 เซนต์ ปิดที่ 1.8742 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ค.ลดลง 4.6 เซนต์ ปิดที่ 1.7303 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 86 เซนต์ ปิดที่ 68.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทอม โคลซา นักวิเคราะห์จากบริษัท Oil Price Information Service กล่าวว่า ในช่วงเช้านั้น สัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่ากลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ (MEND) เข้าโจมตีท่อส่งน้ำมันในเขตบิลลี-คราคามาในรัฐริเวอร์สของไนจีเรีย ซึ่งส่งน้ำมันไปยัง 1 ในสถานีส่งออกที่สำคัญของประเทศ โดยการดำเนินการดังกล่าวเป็นการโจมตีครั้งล่าสุดในไนจีเรียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุด ของแอฟริกา
แต่ต่อมาสัญญาน้ำมันร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคประจำเดือนพ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ แต่อัตราการออมส่วนบุคคลพุ่งขึ้นแตะระดับ 6.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี
นายอับดุลเลาะห์ เอล-บาดรี เลขาธิการกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 70-75 ดอลลาร์/บาร์เรลภายในปลายปีนี้ เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้น และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง
การคาดการณ์ของเลขาธิการโอเปคเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นอีก โดยโกลด์แมน แซคส์ ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันช่วงสิ้นปีพ.ศ.2552 โดยคาดว่าราคาน้ำมันอาจอยู่ที่ 85 ดอลลาร์/ บาร์เรล จากเดิมที่คาดว่าอยู่ที่ 65 ดอลลาร์ และโกลด์แมนยังคาดการณ์ด้วยว่าราคาน้ำมันช่วงสิ้นปีพ.ศ.2553 อาจอยู่ที่ 95 ดอลลาร์/บาร์เรล