สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วลงเมื่อคืนนี้ (11 ส.ค.) หลังจากที่โอเปคได้คงคาดการณ์ดีมานด์น้ำมันทั่วโลกไว้ที่ระดับเดิม และสำนักงานข้อมูลพลังงานคาดว่า ปริมาณการใช้น้ำมันของสหรัฐปีนี้จะร่วงลงไป 4.1% ประกอบกับกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขผลผลิตสหรัฐไตรมาส 2 ที่พุ่งขึ้น และตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ร่วงลงเพราะนักลงทุนรอดูมติการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีต่อสถานภาพของเศรษฐกิจสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.63% ปิดที่ 69.45 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากปรับตัวในช่วง 68.71 - 71.25 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนก.ย.ตกลง 1.59 เซนต์ หรือ 0.82% ปิดที่ 1.9117 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนก.ย.บวกขึ้น 1.38 เซนต์ ปิดที่ 2.9422 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 1.04 ดอลลาร์ หรือ 1.41% ปิดที่ 72.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขผลผลิตของสหรัฐในไตรมาส 2 ปีนี้ พุ่งขึ้น 6.4% ซึ่งถือเป็นสถิติที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปี โดยต้นทุนด้านแรงงาน ค่าจ้าง ของแต่ละหน่วยผลผลิต ร่วงลง 5.8% นับเป็นตัวเลขที่อ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 9 ปี
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ได้คงคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปีนี้ไว้ และคาดว่า ความต้องการน้ำมันในปี 2553 จะเพิ่มขึ้น 5 แสนบาร์เรลต่อวัน พร้อมกับคาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกโดยเฉลี่ยในปีนี้ จะอยู่ที่ 83.91 ล้านบาร์เรลต่อวัน และอาจจะสูงถึง 84.41 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า
ทั้งนี้ โอเปคยังคาดการณ์ด้วยว่า ความต้องการน้ำมันดิบของโอเปคจากทั่วโลกจะร่วงลง 2.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือ 28.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน