สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (30 ก.ย.) ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินทะยานขึ้นแข็งแกร่ง หลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันเบนซินที่ร่วงลงเหนือความคาดหมาย นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขจีดีพีสหรัฐที่หดตัวน้อยกว่าคาด รวมทั้งผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนและญี่ปุ่นที่ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
บลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 3.90 ดอลลาร์ หรือ 5.9% ปิดที่ 70.61 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในกรอบ 70.61-66.75 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 9.78 เซนต์ ปิดที่ 1.7259 ดอลลาร์/แกลลอน ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 3.58 ดอลลาร์ หรือ 5.5% แตะที่ 69.07 ดอลลาร์/บาร์เรล
แอนโทนี ฮาล์ฟ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานจากบริษัท Newedge USA LLC ในนิวยอร์ก กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างคึกคักหลังจากสหรัฐเปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันเบนซินร่วงลงเหนือความคาดหมาย ซึ่งบ่งชี้ว่าดีมานด์พลังงานในสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตัวเลขจีดีพีสหรัฐที่หดตัวน้อยกว่าคาดในไตรมาส 2 ยิ่งทำให้นักลงทุนเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงของสหรัฐเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว
กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันเบนซินในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 25 ก.ย.ร่วงลง 1.6 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 211.5 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.0 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2.8 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 338.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์บลูมเบิร์กคาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 600,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล แตะระดับ 171.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นลดลง 1.0% แตะที่ 84.6%
เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวเพียง 0.7% ในช่วงไตรมาสสอง ซึ่งดีกว่าตัวเลขติดลบ 1% ในการรายงานก่อนหน้านี้ และดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะติดลบ 1.1% จากปีก่อน นับเป็นหลักฐานล่าสุดที่ชี้ว่าภาวะถดถอยกำลังสิ้นสุดลงแล้ว
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมัน NYMEX ยังได้รับแรงหนุนจากรายงานที่ว่า ดัชนีภาคการผลิตของจีนในเดือนก.ย.ขยายตัวขึ้นแตะระดับ 55 จุด ซึ่งเป็นสถิติที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 เพราะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการที่ธนาคารพาณิชย์ของจีนปล่อยเงินกู้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้น 1.8% จากเดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 หลังผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมเหล็กและยานยนต์พุ่งสูงขึ้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวขยายตัวใกล้กับระดับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.9%