สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 ต.ค.) เพราะได้รับแรงหนุนจากการซื้อขายที่คึกคักในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ซึ่งช่วยจุดประกายความหวังว่าอุปสงค์น้ำมันจะฟื้นตัวขึ้น นอกจากนี้ ข่าวการปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นราคาน้ำมันด้วยเช่นกัน
สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.ขยับขึ้น 8 เซนต์ ปิดที่ 71.77 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 70.62-72.35 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนพ.ย.ดีดขึ้น 0.59 เซนต์ ปิดที่ 1.8528 ดอลลาร์/แกลลอน ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 23 เซนต์ ปิดที่ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล
บรรยากาศการซื้อขายในช่วงเปิดตลาดตอนเช้าเป็นไปอย่างคึกคักขานรับข่าวจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ที่คาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกในปี 2553 จะเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวรวดเร็วขึ้นในปีหน้า โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
ทั้งนี้ IEA คาดว่าความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกในปีหน้าจะอยู่ที่ 86.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่าความต้องการน้ำมันในปีหน้าจะอยู่ที่ 85.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
IEA ยังกล่าวด้วยว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่คึกคักขึ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ส่งผลให้มีการใช้น้ำมันดิบมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ IEA ต้องเพิ่มคาดการณ์ความต้องการน้ำมันดิบในครั้งนี้ นอกจากนี้ การเพิ่มคาดการณ์ดีมานด์น้ำมันดิบของ IEA มีขึ้นหลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าเป็น 3.1% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวเพียง 1.9%
อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากที่เบอร์นันเก้ ประธานเฟดกล่าวสุนทรพจน์ที่วอชิงตัน โดยได้ส่งสัญญาณถึงการใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินทันทีที่เศรษฐกิจฟื้นตัว พร้อมทั้งกล่าวถึงความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยมาในระดับหนึ่ง เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อนั้น เป็นเป็นปัจจัยที่สกัดช่วงขาขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาด