สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) เพราะได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังคงอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ที่ปรับเพิ่มคาดการณ์ดีมานด์พลังงานทั่วโลก
บลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 88 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 74.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 72.83-74.47 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 2.90 เซนต์ ปิดที่ 1.9234 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 3.28 เซนต์ ปิดที่ 1.8318 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 1.04 ดอลลาร์ ปิดที่ 72.40 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.เป็นต้นมา
ไมเคิล ลินช์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Strategic Energy & Economic Research ในรัฐเมสซาชูเซทส์ กล่าวว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สัญญาน้ำมันดิบเคลื่อนตัวอยู่เหนือระดับ 74 ดอลลาร์/บาร์เรล นอกจากนี้ ข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจในหลายประเทศเริ่มฟื้นตัวขึ้นทำให้เกิดความคาดหวังว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นจะช่วยหนุนดีมานด์พลังงานทั่วโลกสูงขึ้นด้วย
โอเปคได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ดีมานด์พลังงานทั่วโลก โดยคาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลกในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นอีก 700,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 84.93 ดอลลาร์ต่อวัน เนื่องจากความต้องการน้ำมันในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงจีนและอินเดีย พุ่งสูงขึ้น ส่วนในปีนี้นั้น โอเปคคาดว่าดีมานด์น้ำมันทั่วโลกจะลดตัวลง 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 84.24 ล้านบาร์เรลต่อวัน
การคาดการณ์ของโอเปคมีขึ้นหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดว่าความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกในปีหน้าจะอยู่ที่ 86.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่าความต้องการน้ำมันในปีหน้าจะอยู่ที่ 85.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 100,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจลดลง 0.4%