สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีเมื่อคืนนี้ (14 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่าเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นจะช่วยหนุนดีมานด์พลังงานให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงให้น้ำหนักกับการปรับเพิ่มคาดการณ์ดีมานด์น้ำมันทั่วโลกของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) และสำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ)
บลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 1.03 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 75.18 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนไหวในช่วง 75.18-74.95 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ย.ดีดขึ้น 70 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 73.10 ดอลลาร์/บาร์เรล
ชิพ ฮ็อดจ์ นักวิเคราะห์จากบริษัท MFC Global Investment Management ในเมืองบอสตัน กล่าวว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ทำสถิติปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 วันทำการเนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงและตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวขึ้น ขณะเดียวกันมีรายงานว่าจีนซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ของโลก นำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 15% แตะที่ 17.2 ล้านตันในเดือนก.ย.
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 100,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจลดลง 0.4%
อย่างไรก็ตาม หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการ การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วของสหรัฐลดลง 172,000 บาร์เรล แตะระดับ 339.2 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนยังคงให้น้ำหนักกับโอเปคที่ปรับเพิ่มคาดการณ์ดีมานด์พลังงานทั่วโลก โดยคาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันทั่วโลกในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นอีก 700,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 84.93 ดอลลาร์ต่อวัน เนื่องจากความต้องการน้ำมันในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงจีนและอินเดีย พุ่งสูงขึ้น
การคาดการณ์ของโอเปคมีขึ้นหลังจากไออีเอคาดว่าความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกในปีหน้าจะอยู่ที่ 86.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่าความต้องการน้ำมันในปีหน้าจะอยู่ที่ 85.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบมากขึ้นเมื่อเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยกำไรไตรมาส 3 พุ่งขึ้นแตะ 3.59 พันล้านดอลลาร์ หรือ 82 เซนต์ต่อหุ้น จากระดับ 527 ล้านดอลลาร์ หรือ 9 เซนต์ต่อหุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์โพลล์บลูมเบิร์กคาดว่ากำไรจะอยู่ที่ 51 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นเหนือระดับ 10,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปีเมื่อคืนนี้ด้วย