สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบปีเมื่อคืนนี้ (15 ต.ค.) หลังจากสหรัฐเผยสต็อกน้ำมันเบนซินร่วงลงเหนือความคาดหมาย ซึ่งทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นกำลังหนุนดีมานด์พลังงานให้สูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ
สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 2.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 77.58 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 77.58-75.30 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 7.53 เซนต์ ปิดที่ 2.0181 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 8.74 เซนต์ ปิดที่ 1.9447 ดอลลาร์/แกลลอน ขณะที่สัญญาก๊าซธรรมชาติส่งมอบเดือนพ.ย.ดีดขึ้น 4.6 เซนต์ ปิดที่ 4.482 ดอลลาร์/1000 ลูกบาศก์ฟุต
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 1.35 ดอลลาร์ ปิดที่ 74.45 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทอม โคลซา หัวหน้านักวิเคราะห์จากออยล์ ไพรซ์ อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส กล่าวกับเอพีว่า นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างหนาแน่นเพราะเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นจะช่วยหนุนดีมานด์พลังงานเพิ่มขึ้นด้วย โดยหลักฐานชิ้นล่าสุดคือรายงานสต็อกน้ำมันเบนซินในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 9 ต.ค.ร่วงลงกว่า 5 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
ขณะที่สต็อกน้ำมันดิบลดลงเพียง 400,000 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะร่วงลง 2.2 ล้านบาร์เรล
ตลาดน้ำมัน NYMEX ได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 ต.ค.อยู่ที่ 514,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน โดยลดลง 10,000 รายจากระดับ 524,000 รายในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 3 ต.ค. และลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 525,000 ราย ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) เดือนก.ย.ที่ขยับขึ้นเพียง 0.2%
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) เปิดเผยว่า อัตราการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตและการสำรวจน้ำมันที่ลดลงอย่างหนักอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในอนาคต โดยคาดว่าอัตราการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานจะร่วงลงราว 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือลดลง 20% จากปีที่แล้ว