สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (26 ต.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร ซึ่งทำให้นักลงทุนชะลอแรงซื้อในสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังร่วงลงหลังจากรัฐมนตรีกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ออกมาส่งสัญญาณว่าจะเพิ่มปริมาณการผลิตในการประชุมเดือนหน้า
บลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ดิ่งลง 1.82 ดอลลาร์ หรือ 2.26% ปิดที่ 78.68 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 77.97-81.58 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 4.21 เซนต์ ปิดที่ 2.0335 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 1.0 เซนต์ ปิดที่ 2.0338 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 1.66 ดอลลาร์ ปิดที่ 77.26 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 76.70-80.10 ดอลลาร์
สตีเฟ่น ชอร์ค ประธานบริษัท ชอร์ค กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงานในรัฐเพนซิลวาเนีย กล่าวว่า สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากนายอับดุลเลาะห์ เอลบาดรี เลขาธิการโอเปคกล่าวว่า ในการประชุมเดือนธ.ค.นี้โอเปคอาจจะเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรักษาน้ำมันให้เคลื่อนไหวในช่วง 75-80 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่การตัดสินใจดังกล่าวจะขึ้นอยู่ปริมาณน้ำมันเฉลี่ยในสต็อกของโอเปค
ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ ผู้ผลิต และบริษัทน้ำมันบ่งชี้ว่า ผลผลิตน้ำมันในเดือนก.ย.โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 28.395 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งลดลง 50,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนส.ค. โดยปัจจุบันโอเปคมีปริมาณน้ำมันสำรองต่อวันที่ระดับ 6.105 ล้านบาร์เรลต่อวัน
"นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันร่วงลงหลังจากสกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร และดัชนี S&P 500 ดิ่งลงอันเนื่องมาจากความวิตกกังวลที่ว่ารัฐบาลสหรัฐอาจชะลอโครงการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้าน" ชอร์คกล่าว
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ซึ่งกระทรวงพลังงานจะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบอาจเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นอาจลดลง 900,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินอาจลดลง 300,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.4%