สมาคมผู้ผลิตข้าวแห่งสหรัฐคาดการณ์ว่า ราคาข้าวในสหรัฐมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 23% ในช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นชื้นทำให้ผลผลิตลดลง นอกจากนี้ สภาวะอากาศที่แห้งแล้งและพายุยังส่งผลให้ซัพพลายข้าวจากละตินอเมริกา อินเดีย และฟิลิปปินส์มีปริมาณที่ลดลง
"ราคาข้าวในสหรัฐซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก อาจพุ่งขึ้น 16 ดอลลาร์/100 ปอนด์ ในช่วงต้นปีหน้า จากระดับปัจจุบันที่ 12 ดอลลาร์/100 ปอนด์ ผลผลิตข้าวในสหรัฐอาจพลาดไปจากเป้าหมายของกระทรวงเกษตรที่ประมาณการณ์ไว้ว่าจะมีอยู่มากถึง 15% ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้ราคาข้าวทั้งในตลาดสปอตและตลาดล่วงหน้ากลับไปยืนอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหมือนปีที่แล้ว ปริมาณข้าวในสหรัฐมีอยู่น้อยมากในขณะนี้" ดไวท์ โรเบิร์ตส์ ประธานสมาคมผู้ผลิตข้าวแห่งสหรัฐกล่าว
บลูมเบิร์กรายงานว่า การเดินขบวนต่อต้านราคาอาหารแพงเกิดขึ้นทั่วโลกนับตั้งแต่บังคลาเทศไปจนถึงเฮติเมื่อปีที่แล้ว หลังจากความวิตกกังวลเรื่องภาวะขาดแคลนข้าวทำให้กลุ่มผู้ผลิรายใหญ่รวมถึงอินเดียและเวียดนาม ลดการส่งออกข้าว และส่งผลให้สัญญาข้าวที่ตลาด CBOT พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 25.07 ดอลลาร์/100 ปอนด์ ในเดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากหลายประเทศลดการส่งออกลง ในขณะที่ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นผู้ซื้อข้าวรายใหญ่สุดของโลก เพิ่มปริมาณการซื้อข้าวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าจะมีข้าวเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ
กระทรวงเกษตรสหรัฐเปิดเผยว่า ความต้องการข้าวขัดสีทั่วโลกในรอบปีการตลาดซึ่งสิ้นสุด ณ ปีพ.ศ.2553 มีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบอย่างน้อย 49 ปี และคาดว่าผลผลิตข้าวทั่วโลกจะลดลง 2.7% แตะที่ 433.6 ล้านตัน ส่วนผลผลิตข้าวในสหรัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 7.056 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 8.3% จากปีที่แล้ว
นอกจากนี้ โรเบิร์ตส์กล่าวว่า สภาวะอากาศที่แห้งแล้งในอเมริกาใต้ส่งผลให้น้ำในเขื่อนชลประทานลดลง ซึ่งทำให้กลุ่มผู้ผลิตต้องลดพื้นที่การเพาะปลูกในฤดูกาลนี้ และส่งผลให้การส่งออกข้าวลดลงด้วย ส่วนผลผลิตข้าวที่ลดลงในอินเดียอาจทำให้อินเดียต้องกลายเป็นประเทศผู้นำเข้าข้าว ซึ่งจะยิ่งทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกแพงขึ้นอีก
ด้านนายเจสซัพ นาวาร์โร ผู้อำนวยการสำนักงานอาหารแห่งชาติของฟิลิปปินส์เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ฟิลิปปินส์เริ่มนำเข้าข้าวเพื่อรองรับการบริโภคในปีพ.ศ.2553 หลังจากพื้นที่เพาะปลูกในประเทศได้รับความเสียหายอย่างหนักจากพายุไซโคลน