โรงกษาปณ์ออสเตรียเล็งลดผลิตเหรียญทองคำบริสุทธิ์ 32% เหตุดีมานด์หดหลังวิกฤตการเงินสิ้นสุด

ข่าวต่างประเทศ Thursday October 29, 2009 11:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โรงกษาปณ์ออสเตรีย ซึ่งเป็นผู้ค้าเหรียญทองคำบริสุทธิ์รายใหญ่สุดของโลก วางแผนลดการผลิตเหรียญทองคำบริสุทธิ์ลง 32% ในปีหน้า เพราะคาดว่าวิกฤตการณ์การเงินที่สิ้นสุดลงจะส่งผลให้นักลงทุนซื้อเหรียญทองคำน้อยลง

เคิร์ท เมเยอร์ ประธานบริษัท Muenze Oesterreich AG หรือโรงกษาปณ์ออสเตรีย กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่โตเกียวว่า บริษัทวางแผนลดการผลิตเหรียญทองคำ Philharmonic ลงเหลือเพียง 650,000 ออนซ์ในปีหน้า จากระดับ 950,000 ออนซ์ที่ประเมินไว้ในปีนี้ โดยในปีนี้ผลผลิตเหรียญทองคำทั่วโลกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นปีที่ 2 เนื่องจากนักลงทุนแห่ซื้อเหรียญทองคำเพราะความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์การเงินโลกที่เป็นผลมาจากการล้มละลายของวาณิชธนกิจเลห์แมน บราเธอร์ส

"วิกฤตการณ์การเงินมีแนวโน้มสิ้นสุดลง และเศรษฐกิจกำลังฟืนตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนถือครองทองคำน้อยลง ผิดกับก่อนหน้านี้ที่เข้าซื้อทองคำกันเป็นจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงความในยามที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะเปราบาง" เมเยอร์กล่าว

ด้านนายคาซูฮิโกะ ซาอิโตะ หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัท ฟูจิโตมิ ในโตเกียวคาดว่าราคาทองคำมีแนวโน้มพุ่งขึ้นเนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์ยังอ่อนตัวลง ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำในสหรัฐ โดยนักลงทุนเข้าซื้อทองคำแท่ง เหรียญทองคำ และผลิตภัณฑ์ทองคำจำนวนมาก

บลูมเบิร์กรายงานว่า กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เข้าถือครองทองคำทั้งสิ้น 1,105.6 เมตริกตัน ณ วันที่ 27 ต.ค.

อารอน สมิธ กรรมการผู้จัดการบริษัท Superfund Financial Singapore Pte คาดการณ์ว่า ราคาทองคำในตลาดโลกอาจพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ในอีก 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากกลุ่มเฮดจ์ฟันด์เข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเหลี่ยงภาวะเงินเฟ้อหลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลในหลายประเทศเตรียมพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้น

"ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับวงจรเงินเฟ้อที่รุนแรง หลังจากหลุดพ้นจากวงจรเงินฝืดเมื่อไม่นานมานี้ ในไม่ช้านี้หากคุณจะซื้อกาแฟซักแก้ว คุณจะต้องจ่ายเงินถึง 20-30 ดอลลาร์เพราะสกุลเงินดอลลาร์จะมีค่าน้อยลง ส่วนในเดือนนี้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเมื่อรัฐบาลในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐเข้าซื้อตราสารหนี้เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย จึงทำให้มีเม็ดเงินในระบบจำนวนมาก" สมิธกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ