สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (4 พ.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0-0.25% และส่งสัญญาณว่าจะคงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีก ซึ่งสร้างแรงกดดันอย่างหนักให้กับดอลลาร์
บลูมเบิร์กรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 80 เซนต์ ปิดที่ 80.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 80.40-80.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 1.69 เซนต์ ปิดที่ 2.0902 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 1.23 เซนต์ ปิดที่ 2.0127 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 78 เซนต์ ปิดที่ 78.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
สตีเฟ่น ชอร์ค ประธานบริษัท ชอร์ค กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงานในรัฐเพนซิลวาเนีย กล่าวว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างหนัก หลังจากเฟดมีมติคงดอกเบี้ย 0-0.25% และส่งสัญญาณว่าจะคงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีก ซึ่งดอกเบี้ยที่ต่ำจะส่งผลให้สินทรัพย์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าและไม่น่าดึงดูดใจ ทำให้เทรดเดอร์หันไปซื้อสกุลเงินที่คาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) เตือนว่า อัตราการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตและการสำรวจน้ำมันที่ลดลงอย่างหนักอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงในอนาคต พร้อมกับคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกในปีหน้าจะอยู่ที่ 86.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.7% จากปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนที่แล้วว่าความต้องการน้ำมันในปีหน้าจะอยู่ที่ 85.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
"อัตราการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานลดลงอย่างหนัก โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาและการสำรวจแหล่งสำรองน้ำมัน ซึ่งอาจทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความเสี่ยงที่จะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในอนาคต โดยคาดว่าอัตราการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานจะร่วงลงราว 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือลดลง 20% จากปีที่แล้ว" ฟาตีห์ ไบรอล หัวหน้านักวิเคราะห์ของ IEA กล่าวในที่ประชุมในกรุงปารีส