สมาคมน้ำมันปาล์มอินโดนีเซียคาดผลผลิตน้ำมันปาล์มปีหน้าพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ข่าวต่างประเทศ Friday November 20, 2009 13:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ผลผลิตและยอดส่งออกน้ำมันปาล์มจากอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดอาจพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกได้ช่วยกระตุ้นความต้องการน้ำมันปาล์มเพิ่มมากขึ้น

ฟาดีลห์ ฮาซาน ผู้อำนวยการบริหารของสมาคมน้ำมันปาล์มอินโดนีเซียกล่าวว่า ยอดส่งออกน้ำมันปาล์มอาจขยายตัวราว 7-10% จากระดับ 15.8 ล้านตันในปีนี้ โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มในปี 2553 อาจไต่ระดับขึ้นแตะที่ 21.5 ล้านตันเป็นอย่างน้อย จากระดับ 20.5 ล้านตันในปีนี้

ยอดส่งออกที่พุ่งสูงขึ้นอาจช่วยบรรเทาความร้อนแรงของราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้นถึง 40% ในปีนี้ ท่ามกลางสัญญาณบ่งชี้ที่ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวจากภาวะตกต่ำหนักสุดนับตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้ ปัจจัยที่หนุนให้ราคาน้ำมันปาล์มพุ่งสูงขึ้นคือราคาน้ำมันดิบที่ขยายตัว

ฮาซานกล่าวว่า "การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรป รวมถึงเศรษฐกิจจีนและอินเดียที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งจะช่วยกระตุ้นความต้องการน้ำมันปาล์มมากยิ่งขึ้น"

โดยเมื่อวานนี้ องค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) ได้ยกระดับคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมหรือประเทศร่ำรวยถึง 2 เท่าในปีหน้า โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 1.9% โดยมีจีนเป็นแกนนำที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

บลูมเบิร์กรายงานว่า ราคาน้ำมันปาล์มงวดส่งมอบเดือนก.พ.ที่ซื้อขายในตลาดตราสารอนุพันธ์มาเลเซียเมื่อวานนี้ปรับตัวลดลง 1.2% แตะที่ 2,371 ริงกิต (700 ดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากนักลงทุนบางกลุ่มเทขายทำกำไร หลังจากที่ราคาสัญญาไต่ขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา

ด้านสตีเวน ฮาลิม รองเลขาธิการของสมาคมฯมองว่า ราคาน้ำมันปาล์มควรเคลื่อนไหวในระดับนี้ เพราะหากราคาพุ่งสูงเกินไปจะทำให้นักลงทุนลดความต้องการในตลาดน้ำมันปาล์มและหันไปให้ความสนใจน้ำมันพืชประเภทอื่นๆแทน เช่น น้ำมันถั่วเหลืองเป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขคาดการณ์ผลผลิตน้ำมันของทางสมาคมฯยังน้อยกว่าที่บริษัทผู้นำเข้าน้ำมันพืชรายใหญ่จากอินเดียคาดการณ์ไว้ว่า อินโดนีเซียจะผลิตน้ำมันปาล์มได้ 12.5 ล้านตันในปีนี้ ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 23.5 ล้านตันในปีหน้า ส่วนผลผลิตน้ำมันปาล์มในมาเลเซียปีนี้อาจขยายตัวแตะที่ 17.5 ล้านตัน และเพิ่มขึ้นอีก 500,000 ตันในปี 2553


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ