สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงต่ำกว่าระดับ 73 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (9 ธ.ค.) โดยสัญญาปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เพราะถูกกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น และข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าดีมานด์พลังงานในหลายประเทศยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัว รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงอ่อนแอในเยอรมีและอังกฤษ
สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.ร่วงลง 1.31 ดอลลาร์ หรือ 1.77% ปิดที่ 72.62 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 72.51-74.39 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 1.88 เซนต์ ปิดที่ 1.9909 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 1.60 เซนต์ ปิดที่ 1.9264 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญา น้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.ร่วงลง 1.24 ดอลลาร์ ปิดที่ 75.19 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 75.10-77.02 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์ในแวดวงอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐกล่าวว่า สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงเนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และหลังจากสมาพันธ์อุตสาหกรรมอังกฤษรายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในอีก 3 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มลดลง ขณะที่เยอรมนีระบุว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวลง 1.8% ในเดือนต.ค. เนื่องจากการผลิตเครื่องจักรและรถยนต์ร่วงลงอย่างหนัก
ข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแออาจฉุดดีมานด์พลังงานอ่อนตัวลงด้วย แม้ว่าทางการสหรัฐรายงานว่าตลาดแรงงานภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้วก็ตาม โดยนักลงทุนมองว่าภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางและอัตราว่างงานที่ระดับ 10% จะส่งผลให้ผู้บริโภคและภาคเอกชนลดการใช้จ่ายด้านพลังงาน
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ที่กระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 600,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.3%
การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) เปิดเผยหลังจากตลาดปิดทำการเมื่อคืนนี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วลดลง 5.8 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 1.0 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 753,000 บาร์เรล
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นขั้นต้นเดือนธ.ค.