สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อคืนนี้ (9 ธ.ค.) หลังสหรัฐเผยสต็อกน้ำมันเบนซินที่พุ่งสูงเกินคาด ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า อุปสงค์เชื้อเพลิงในสหรัฐยังอยู่ในภาวะอ่อนแอ
สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.ร่วงลง 1.95 ดอลลาร์ หรือ 2. 7% ปิดที่ 70.67 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยในระหว่างการซื้อขายนั้น ราคาน้ำมันดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดของวันที่ 70.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 8.16 เซนต์ ปิดที่ 1.9093 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 5.91เซนต์ ปิดที่ 1.8655 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.ร่วงลง 2.8 ดอลลาร์ ปิดที่ 72.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
โดยนักลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มกลับมาวิตกกังวลต่อปัจจัยพื้นฐานในตลาดที่ส่งผลต่อราคาน้ำมัน หลังจากที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) ของกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันเบนซินในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาพุ่งขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรล แตะที่ 216.3 ล้านบาร์เรล ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล
ทั้งนี้ สต็อกน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาทำให้ปริมาณผลผลิตน้ำมันเบนซินทั้งหมดขยายตัว 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงน้ำมันดีเซลและฮีทติ้งออยล์นั้นขยับขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรลแตะที่ 167.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 400,000 บาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันดิบลดลง 3.8 ล้านบาร์เรล หรือ 1.1% แตะที่ 336.1 ล้านบาร์เรล แต่ยังคงอยู่สูงกว่าระดับในปีที่ผ่านมา 4.4%
รายงานดังกล่าวบ่งชี้ว่า โรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐมีกำลังการผลิตน้ำมัน 81.1% ของปริมาณการผลิตน้ำมันโดยรวม ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.4% จากรอบสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ซึ่งสต็อกน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้นได้สร้างความวิตกกังวลในกลุ่มนักลงทุนที่มองว่า อุปสงค์พลังงานยังซบเซา โดยอุปสงค์เชื้อเพลิงโดยรวมของสหรัฐมีอัตราเฉลี่ยที่ 18.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ตลาดยังมีความกังวลต่อแนวโน้มการใช้น้ำมันในระยะนี้ เนื่องจากอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงและเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางกำลังสร้างแรงกดดันต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจให้ต้องปรับลดการใช้พลังงานลง