สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (28 ม.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดสั่งซื้อคงทนเดือนธ.ค.ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งทำให้นักลงทุนมองว่าภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอาจทำให้ภาคการผลิตของสหรัฐลดการใช้จ่าย รวมถึงการใช้จ่ายด้านพลังงาน นอกจากนี้ สกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นยังส่งผลกดดันสัญญาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 3 เซนต์ ปิดที่ 73.64 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 74.05-74.05 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.9191 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 2.18 เซนต์ ปิดที่ 1.9174 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 11 เซนต์ ปิดที่ 72.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนวิตกกังวลว่าภาคการผลิตของสหรัฐอาจชะลอการใช้จ่าย รวมถึงการใช้จ่ายด้านพลังงาน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงซบเซา โดยหลักฐานล่าสุดคือยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนธ.ค.ที่ขยับขึ้นเพียง 0.3% ซึ่งเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 2.0%
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมัน NYMEX ได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและหนี้สาธารณะในประเทศยุโรปทำให้นักลงทุนแห่ถือครองดอลลาร์เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 23 ม.ค.ร่วงลง 3.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 326.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล
สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล แตะที่ 157.5 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล และ สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2.0 ล้านบาร์เรล แตะที่ 229.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 1.1 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.1% แตะที่ 78.5%