สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (29 ม.ค.) หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ขานรับการรายงานตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2552 ที่ขยายตัวดีเกินคาด
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 75 เซนต์ ปิดที่ 72.89 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 72.43- 74.82 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนก.พ.ขยับลง 1.62 เซนต์ แตะระดับ 1.9029 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 1.43 เซนต์ ปิดที่ 1.9031ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 67 เซนต์ ปิดที่ 71.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐไตรมาส 4 ปี 2552 พุ่งสูงขึ้นในอัตรา 5.7% ต่อปี ทำสถิติขยายตัวสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี ซึ่งรายงานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนภาคเอกชนในสหรัฐที่ฟื้นตัวดีขึ้น รวมไปถึงการส่งออกและการใช้จ่ายผู้บริโภคที่เริ่มคึกคัก
โดยการรายงานตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวยังจุดกระแสคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าประเทศอื่นๆที่อยู่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับอัตราการใช้พลังงานที่ลดลงยังเป็นปัจจัยลบต่อราคาน้ำมัน หลังรายงานจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานระบุว่า อุปสงค์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในสหรัฐปรับตัวลดลง 4 สัปดาห์ติดต่อกัน
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มแผ่วลงในช่วงปลายปี เนื่องจากบริษัทต่างๆลดสัดส่วนการสำรองสินค้า ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มหมดอายุลง ซึ่งความเคลื่อนไหวเหล่านี้จะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันปรับตัวลดลงตามมา