สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับ 80 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (24 ก.พ.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันเบนซินสัปดาห์ที่แล้วลดลงเหนือความคาดหมาย ซึ่งบ่งชี้ว่าดีมานด์พลังงานในสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 1.14 ดอลลาร์ หรือ 1.45% ปิดตลาดที่ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 78.25-80.13 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 3.33 เซนต์ ปิดที่ 2.0989 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 0.98 เซนต์ ปิดที่ 2.0421 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 84 เซนต์ หรือ 1.09% ปิดที่ 78.09 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 76.63-78.42 ดอลลาร์
นักลงทุนยังคงเชื่อมั่นว่าดีมานด์พลังงานในสหรัฐยังคงแข็งแกร่งแม้เศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะเปราะบางก็ตาม โดยกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันกลั่นในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 19 ก.พ.ลดลง 0.6 ล้านบาร์เรล แตะที่ 152.7 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะร่วงลง 1.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 0.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 231.2 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.4% แตะที่ 81.2%
อย่างไรก็ตาม สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 3.0 ล้านบาร์เรล แตะที่ 337.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 2 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงเมื่อเทียบกับยูโร หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันต่อคณะกรรมาธิการด้านการเงินแห่งสภาคองเกรสสหรัฐว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rate) ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0-0.25% ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งดอกเบี้ยที่ระดับต่ำส่งผลให้สินทรัพย์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ด้อยค่าลงด้วย
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนักหลังจากสำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐ รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.ดิ่งลงสู่ระดับ 46 จุด จากเดือนม.ค.ที่ระดับ 56.5 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 55 จุด บ่งชี้ว่าผู้บริโภคมีความวิตกกังวลเรื่องตัวเลขจ้างงานที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต