สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (5 มี.ค.) เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันยังถูกกดดันจากรายงานยอดขายบ้านที่ร่วงลงเกินคาดของสหรัฐ และสต็อกน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเกินคาดในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าดีมานด์พลังงานในสหรัฐหดตัวลง
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 66 เซนต์ หรือ 0.82% ปิดตลาดที่ 80.21 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 79.70-81.09 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 71 เซนต์ ปิดที่ 78.54 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 78.15-79.42 ดอลลาร์
สกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของดีมานด์พลังงานในสหรัฐ โดยกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 26 ก.พ.พุ่ง 4.1 ล้านบาร์เรล แตะที่ 341.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 1.4 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 900,000 บาร์เรล แตะที่ 151.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล แตะที่ 231.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.7% แตะที่ 81.9% สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 0.1%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดสั่งซื้อภาคการผลิตเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 1.7% แต่น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.8% ขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติระบุว่า ดัชนียอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนม.ค.ร่วงลง 7.6% แตะระดับ 90.4 จุด จากเดือนธ.ค.ที่ระดับ 97.8 จุด สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1% นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ.ของสหรัฐซึ่งจะมีการรายงานในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนก.พ.จะลดลง 20,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะอยู่ที่ 9.8% ในเดือนก.พ. เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.ที่ระดับ 9.7%