สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงต่ำกว่าระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (15 มี.ค.) เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้นักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะหดตัวของดีมานด์พลังงาน
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 1.44 ดอลลาร์ หรือ 1.77% ปิดตลาดที่ 79.80 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 79.13-81.31 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนเม.ย.ลดลง 3.64 เซนต์ ปิดที่ 2.0576 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนเม.ย.ลดลง 3.22 เซนต์ ปิดที่ 2.2228 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย.ดิ่งลง 1.50 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 77.89 ดอลลาร์/บาร์เรล สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เดือนเม.ย.จะครบกำหนดส่งมอบในวันอังคารนี้
นักวิเคราะห์จากเอ็มเอฟ โกลบอล กล่าวว่า สัญญาน้ำมันดิบถูกดดันอย่างหนักจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น และจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะหดตัวของดีมานด์พลังงาน โดยนักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ซึ่งกระทรวงพลังงานสหรัฐจะเปิดเผยในคืนวันพุธตามเวลาประเทศไทย ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล สต็อก น้ำมันกลั่นจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 300,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.3%
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากนายอาลี คาติบี ผู้ว่าการโอเปคกล่าวว่า ตลาดน้ำมันอาจตกอยู่ในภาวะ oversupply ในปีนี้หากกลุ่มโอเปคไม่สามารถจำกัดเพดานการผลิตในการประชุมวันที่ 17 มี.ค.นี้ได้ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากรายงานผลผลิตภาคอุตาหกรรมเดือนก.พ.ของสหรัฐที่ย่ำฐานทรงตัวเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยในรายงานเมื่อคืนนี้ว่า ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.พ. และอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 72.7% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีพ.ศ.2552 โดยก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.พ. และอัตราการใช้กำลังผลิตจะอยู่ที่ 72.6%