สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (18 มี.ค.) เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรได้กดดันให้นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบ โดยยูโรร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของกรีซ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานสต็อกน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงในสหรัฐ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 73 เซนต์ หรือ 0.88% ปิดที่ระดับ 82.20 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในกรอบ 81.68-82.85 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 0.88 เซนต์ ปิดที่ 2.3009 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนเม.ย.ลดลง 2.04 เซนต์ ปิดที่ 2.1191 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 48 เซนต์ หรือ 0.59% ปิดที่ 81.48 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดน้ำมัน NYMEX ถูกกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่ากรีซอาจจะไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากชาติสมาชิกยุโรป หลังจากนายไมเคิล เมสเตอร์ หัวหน้าโฆษกฝ่ายการเงินของนางแองเจลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า กรีซควรหันไปพึ่งพากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) หากจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือด้านการเงิน
ที่ประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) มีมติคงเพดานการผลิตไว้เท่าเดิมที่ 24.845 ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการคงเพดานการผลิตติดต่อกันครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2551 เป็นต้นมา โดยมีเป้าหมายที่จะรักษาราคาน้ำมันไว้ที่ระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ การตัดสินใจคงเพดานการผลิตน้ำมันยังสอดคล้องกับที่รัฐมนตรีพลังงานโอเปคออกมาส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้ว่าโอเปคจะตัดสินใจคงเพดานการผลิตในการประชุมครั้งนี้
กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 12 มี.ค.เพิ่มขึ้น 1.00 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 344.0 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นร่วงลง 1.5 ล้านบาร์เรล แตะที่ระดับ 148.1 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล แตะที่ระดับ 227.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง 0.1% แตะที่ระดับ 80.6%