สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX เดือนพ.ค.ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่ตลาดสิงคโปร์ ร่วงลง 55 เซนต์ หรือ 0.7% แตะที่ระดับ 83.21 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเที่ยงวันนี้ตามเวลาสิงคโปร์ หลังจากสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น และตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนที่ลดลงในเดือนมี.ค.
กระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 26 มี.ค.พุ่งขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรล หรือ 0.8% แตะที่ระดับ 354.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ซึ่งได้รับการสำรวจโดยบริษัท แมคกรอว์-ฮิลส์ คอส คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.65 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล หรือ 0.1% แตะที่ 224.9 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงเชื้อเพลิงดีเซลและฮีทติ้งออยล์ ลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล แตะที่ระดับ 144.6 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าจะร่วงลง 1.2 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้น 1.5% มาอยู่ที่ระดับ 82.6%
นอกจากนี้ ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐเปิดเผยว่า ภาคเอกชนของสหรัฐลดการจ้างงานลง 23,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าภาคเอกชนจะเพิ่มการจ้างงาน 40,000 ตำแหน่ง
ข้อมูลด้านการจ้างงานของ ADP ทำให้นักลงทุนกลับมาวิตกกังวลเรื่องภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานอีกครั้ง และเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payroll) เดือนมี.ค.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้นั้น จะเพิ่มขึ้นตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้หรือไม่ โดยนักวิเคราะห์จากหลายสำนักคาดว่าตัวเลขจ้างงานเดือนมี.ค.จะเพิ่มขึ้นราว 190,000- 200,000 คน และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนมี.ค.จะทรงตัวที่ระดับ 9.7%