สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเป็นวันที่ 5 เมื่อคืนนี้ (13 เม.ย.) มาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 85 ดอลลาร์ เพราะนักลงทุนวิตกว่าอุปทานพลังงานจะมีอยู่มากกว่าอุปสงค์ ก่อนที่จะมีการรายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ของสหรัฐในวันพุธนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 11 อีก 1.6 ล้านบาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.ลดลง 29 เซนต์ ปิดที่ 84.05 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากที่เคลื่อนตัวลงแตะระดับต่ำสุดที่ 82.51 ดอลลาร์ในการซื้อขายระหว่างวัน
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนพ.ค.ลดลง 0.47 เซนต์ ปิดที่ 2.2142 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนพ.ค. ลดลง 1.35 เซนต์ อยู่ที่ 2.3093 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ค.ขยับลง 5 เซนต์ ปิดที่ 84.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) เปิดเผยในรายงานรายเดือนล่าสุดเมื่อวานนี้ว่า ราคาน้ำมันดิบที่อยู่เหนือระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ และคาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อปีที่แล้วที่ละดลง 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน
อย่างไรก็ดี IEA คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอุปทานน้ำมันจากกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกโอเปคจะปรับตัวขึ้นเร็วกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ โดยกลุ่มประเทศเหล่านี้คาดว่าจะเพิ่มผลผลิตน้ำมันต่อวันอีก 600,000 บาร์เรลต่อวันในปีนี้ มาอยู่ที่ระดับเฉลี่ยที่ 52 ล้านบาร์เรลต่อวัน