สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่สองเมื่อคืนนี้ (27 เม.ย.) เนื่องจากข่าวสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อของโปรตุเกสและกรีซ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่า วิกฤตเศรษฐกิจอาจลุกลามไปทั่วยุโรป และจะส่งผลกระทบต่อดีมานด์พลังงานทั่วโลกด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ร่วงลง 1.76 ดอลลาร์ ปิดที่ 82.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนพ.ค.ลดลง 0.68 เซนต์ ปิดที่ 2.2303 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนพ.ค.ลดลง 1.41 เซนต์ ปิดที่ 2.3268 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมิ.ย.ดิ่งลง 1.05 ดอลลาร์ ปิดที่ 85.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบเพราะกังวลว่าเศรษฐกิจอาจลุกลามไปทั่วยุโรป และจะส่งผลกระทบต่อดีมานด์พลังงานทั่วโลกด้วย หลังจากเอสแอนด์พี ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของกรีซลงสู่ "ระดับขยะ" หรือ "junk status" และลดอันดับความน่าเชื่อถือของโปรตุเกสลง 2 ขั้น สู่ระดับ A- จากระดับ A+ นอกจากนี้ ข่าวดังกล่าวยังส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นกว่า 1.1% เมื่อเทียบกับยูโร อีกทั้งทำให้ราคาทองคำและราคาพันธบัตรทะยานขึ้นเนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าซื้อเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 23 เม.ย.จะพุ่งขึ้น 1 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินอาจเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นอาจเพิ่มขึ้น 1.25 ล้านบาร์เรล
ภายหลังจากตลาดน้ำมันนิวยอร์กปิดทำการเมื่อคืนนี้แล้ว การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 เม.ย. พุ่งขึ้น 5.3 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 658,000 บาร์เรล
นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะเสร็จสิ้นในคืนวันพุธตามเวลาประเทศไทย หลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่า คณะกรรมการเฟดจะประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวแข็งแกร่ง ซึ่งจะนำไปสู่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในที่สุด ทั้งนี้ หากเฟดตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะช่วยหนุนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และจะส่งผลกดดันราคาน้ำมันดิบ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังติดตามรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ รวมถึงเอ็กซอนโมบิล โคโนโคฟิลิปส์ และเชฟรอน หลังจากบริษัท บีพี เปิดเผยว่าบริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 6.08 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.56 พันล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ บีพี เป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่แห่งแรกที่นำร่องเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาสแรก ก่อนที่รอยัล ดัทช์ เชลล์ จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพุธ ตามด้วยเอ็กซอนโมบิลที่จะรายงานผลประกอบการในวันพฤหัสบดีนี้