สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 2 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (29 เม.ย.) โดยสัญญาเคลื่อนไหวอยู่เหนือระดับ 85 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขว่างงานรายสัปดาห์ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะฟื้นตัวในตลาดแรงงาน นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ รวมถึงเอ็กซอนโมบิล และโคโนโคฟิลิปส์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 1.95 ดอลลาร์ ปิดที่ 85.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนพ.ค.ดีดขึ้น 2.22 เซนต์ ปิดที่ 2.2512 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 2.29 เซนต์ ปิดที่ 2.3556 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 74 เซนต์ ปิดที่ 86.90 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบเพราะมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มแข็งแกร่งและจะช่วยหนุนดีมานด์พลังงานพุ่งขึ้นด้วย หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 24 เม.ย. ร่วงลง 11,000 คน มาอยู่ที่ระดับ 448,000 คน ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้แรงหนุนรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ รวมถึงเอ็กซอนโมบิล โคโนโคฟิลิปส์ และอ็อกซิเดนเทียล ปิโตรเลียม
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ตลาดน้ำมันนิวยอร์กดีดตัวขึ้นจากรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ พีแอลซี โดยบริษัทมีกำไรสุทธิพุ่งขึ้นถึง 57% สู่ระดับ 5.48 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ผลผลิตน้ำมันที่มากขึ้น และการลดค่าใช้จ่ายของบริษัท
นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบอย่างคึกคักแม้กระทรวงพลังงานสหรัฐระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 23 เม.ย. พุ่งขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 357.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นทะยานขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 151.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.4 ล้านบาร์เรล
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาสแรกปี 2553 ในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจีดีพีไตรมาสแรกจะขยายตัวในอัตรา 3.4% ต่อปี จากไตรมาสสี่ปีที่แล้วที่ระดับ 5.6% ต่อปี